วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ฟอสซิลวิทยา กับความตกอับของทฤษฎีวิวัฒนาการ



جَدِيدٍ  مِّنْ خَلْقٍ بَلْ هُمْ فِي لَبْسٍ أَفَعَيِينَا بِالْخَلْقِ الْأَوَّلِ ۚ

وَنَحْنُ أَقْرَبُ إِلَيْهِ مِنْ حَبْلِ الْوَرِيدِ وَلَقَدْ خَلَقْنَا الْإِنسَانَ وَنَعْلَمُ مَا تُوَسْوِسُ بِهِ نَفْسُهُ ۖ

เราได้เหน็ดเหนื่อยต่อการสร้างครั้งแรกกระนั้นหรือ? เปล่าเลย! แต่ว่าพวกเขาอยู่ในการสงสัยต่อการสร้างครั้งใหม่ต่างหาก  และโดยแน่นอน เราได้บังเกิดมนุษย์มา และเรารู้ดียิ่งที่จิตใจของเขากระซิบกระซาบแก่เขา และเรานั้นใกล้ชิดเขายิ่งกว่าเส้นเลือดชีวิตของเขาเสีย ) อัลกุรอาน: 50 : 15-16 )
               ================================================
                                                      บทนำ
                ฟอสซิล คือ ร่องรอยหรือซากของสิ่งมีชีวิตที่ถูกเก็บไว้ใต้พื้นโลกเป็นเวลายาวนาน และถูกเก็บรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน ฟอสซิลเป็นหลักฐานสำคัญที่สามารถบ่งบอกข้อมูลรายละเอียดของสิ่งมีชีวิตที่ค้นพบ ถึงแม้ว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้วก็ตาม
                โครงสร้างสิ่งมีชีวิตในอดีต ได้สัมผัสกับบรรยากาศของโลก แต่แล้วด้วยปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น ทำให้สิ่งมีชีวิตหลากหลายพันธ์ได้สูญหายไปอย่างฉับพลัน หลงเหลือไว้แต่ซากฟอสซิลที่ยังคงเป็นหลักฐาน และข้อมูลชิ้นสำคัญที่สามารถบอกรายละเอียดและช่วงเวลาที่พวกมันเคยอาศัยอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะนานกี่ล้านปีก็ตาม
                สำหรับนักวิวัฒนาการนิยม (evolutionists) ฟอสซิลก็เป็นอีกหนึ่งหลักชิ้นสำคัญ ที่ใช้ในการสนับสนุนแนวทฤษฎีวิวัฒนาการ ไม่ใช่นำฟอสซิลมาบอกรายละเอียด ด้วยวิธีการที่โปร่งใส หากแต่ใช่กลลวง อุปโลกน์ ปรุงแต่งฟอสซิล ให้เป็นโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตที่กลุ่มตนคาดการณ์ไว้ เช่น นำฟอสซิลของปลา มาเสริมแต่งอวัยวะต่างๆ ยืดส่วนของครีบให้ขยายขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่วิวัฒนาการมาจากปลาและมีโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่า อยู่ในลักษณะก่ำกึ่งระหว่างสิ่งมีชีวิต หรือเรียกว่า “รอยต่อที่หายไป (missing link) ” โดยที่นักวิวัฒนาการถวิลหามาแต่นมนาน
                สิ่งมีชีวิตลักษณะกำกึ่ง หรือรอยต่อที่หายไปไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย หรือว่ามันได้สูญพันธ์ไปแล้ว ?
              เมื่อสิ่งมีชีวิตได้ปรากฏขึ้นมา อีกทั้งยังมีโครงสร้างที่คล้ายกับสิ่งมีชีวิตในอดีต ซึ่งบางชนิดมีอายุเป็นล้านๆปี จากข้อมูลลักษณะนี้ สามารถทำการล้มทฤษฎีความเชื่อของนักวิวัฒนาการนิยมลงได้ เนื่องจากมันขัดแย้งกับสิ่งที่กลุ่มของเขาอธิบายมาโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ เรายังสามารถอนุมานได้ว่า สิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างอย่างง่ายไม่สามารถเกิดวิวัฒนาการกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างที่สลับซับซ้อน ตามความเข้าใจของนักวิวัฒนาการนิยม และศัพท์ที่เขาใช้เรียก “สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะก่ำกึ่ง ” หรือ “รอยต่อที่หายไป” ก็ไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งหมดเป็นแค่เพียงนิทานพกลมตามแบบฉบับลัทธิปฏิเสธพระเจ้าแค่นั้นเอง
                สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างแสดงสัญญาณตรงกันอยู่ข้อหนึ่ง คือ มันไม่สามารถเกิดขึ้นมาเองภายใต้สถานการณ์ที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ตามคำกล่าวอ้างในทฤษฎีวิวัฒนาการ ด้วยกับลักษณะโครงสร้างที่มีความจำเพาะเจาะจง รูปลักษณ์อ่อนช้อย เป็นเอกลักษณ์เฉพาะชนิดของสิ่งมีชีวิต และความสลับซับซ้อนที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของมัน ทั้งหมดล้วนแสดงสัญญาณถึงการเป็นสิ่งถูกสร้างที่มาจากสถาปนิกสูงสุด ที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ และไม่ว่ามันจะมีชีวิตอยู่ หรือแม้แต่สูญพันธ์ไปแล้วกี่ล้านปี หรือสิบล้านปีก็ตาม พวกมันทุกชนิดต่างถูกสร้างมาด้วยลักษณะสมบูรณ์โดยทันที
                หลักฐานฟอสซิลสิ่งมีชีวิตตั้งแต่อดีตหรือปัจจุบัน มันยังคงเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งบอกถึงที่มาของสิ่งมีชีวิตจากความว่างเปล่า และมีโครงสร้างภายในร่างกายที่สลับซับซ้อนโดยทันใดภายใต้การเรียงต่อของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหมดด้วยน้ำพระหัตถ์ของพระองค์เพียงผู้เดียว


                                      จุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิตตามแบบฉบับฟอสซิลวิทยา
                ทฤษฎีวิวัฒนาการอ้างว่า สิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์ต่างมีต้นกำเนิดจากบรรพบุรุษเดียวกัน กล่าวคือต่างมีที่มาจากการเปลี่ยนแปลงค่อยเป็นค่อยไปจากเซลล์ต้นกำเนิดเซลล์เดียวทั้งหมด และจากความหมายนี้ ทำให้เข้าใจว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหมดนี้ย่อมมีความสัมพันธ์กันในระดับเซลล์อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่ามันจะคนละสายชนิดก็ตาม แต่จากการสังเกตและการศึกษาโครงสร้างและพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ ทั้งหมดต่างแสดงลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะสายพันธุ์  อีกทั้งยังแสดงความแตกต่างในด้านระบบอวัยวะ ลักษณะพันธุกรรม ลักษณะพฤติกรรม ฯลฯ ดังที่ผู้เชี่ยวชาญด้านบรรพชีวินวิทยาสัตว์มีกระดูกสันหลัง  (Vertebrate paleontology) นามโรเบิรต์ คาร์รอล (Robert Carroll) ออกมายอมรับในหนังสือของท่าน ที่มีชื่อว่า Patterns and Processes of Vertebrate Evolution
                “ ถึงแม้ว่าจำนวนของสิ่งมีชีวิตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่จำกัด แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในลักษณะโครงสร้างก่ำกึ่งเลย ทำให้เราได้รับรู้ว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างแสดงเอกลักษณ์เฉพาะสายพันธุ์และอาจมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกันภายในกลุ่มของมัน” 1

               อย่างที่เราทราบว่า ทฤษฎี “วิวัฒนาการ” คือ กระบวนที่อ้างถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่อดีต ดังนั้นการค้นพบซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ถือว่าเป็นเครื่องมือขั้นปฐมภูมิที่สามารถยืนยันประวัติความเป็นไปเป็นมาของสิ่งมีชีวิตในอดีต ถึงแม้ว่าบางชนิดจะสูญพันธุ์ไปแล้วก็ตาม ดังที่ เพียร์ แกรส (Pierre Grassé) ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้ว่า
                “นักธรรมชาติศึกษาควรให้ความสนใจเกี่ยวกับกระบวนการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตผ่านการศึกษาฟอสซิลวิทยา... มีแค่บรรพชีวินศาสตร์ (paleontology) เท่านั้น ที่สามารถทำให้หลักฐานของการเกิดวิวัฒนาการกว้างขวางขึ้นมา อีกทั้งยังเปิดเผยต้นกำเนิดและกลไกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตได้2
                เพื่อที่เราจะได้เข้าใจเกี่ยวกับการต้นกำเนิดของสิงมีชีวิตตามข้อมูลของฟอสซิล เราลองมาดูรายละเอียดคร่าวๆเกี่ยวกับการอธิบายที่มาของสิงมีชีวิตตามแบบฉบับของทฤษฎีวิวัฒนาการ เป็นเบื้องต้นก่อน คือ
                ตามการกล่าวอ้างของทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้เสนอไว้ว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างมีที่มาจากบรรพบุรุษที่เป็น “ต้นกำเนิด”ชนิดเดียวกัน หมายความว่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นปัจจุบัน ย่อมพัฒนาจากสิ่งมีชีวิตลำดับก่อนหน้า และก็จะย้อนไปลักษณะนี้ จนถึงสิ่งมีชีวิตที่เป็นต้นกำเนิดเซลล์แรก ซึ่งถ้าเป็นไปตามนี้จริง จำนวนของสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมือนหรือก่ำกึ่งระหว่างสิ่งมีชีวิตต้องปรากฏบนแผ่นดินนี้เป็นจำนวนมาก และส่วนหนึ่งก็จะกลายเป็นฟอสซิลอีกปริมาณไม่น้อยเช่นกัน
                ตัวอย่างเช่น อาจจะต้องเกิดสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะครึ่งปลา-ครึ่งสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ซึ่งสัตว์ประเภทนี้อาจจะมีพฤติกรรมคล้ายกับปลา แต่มีโครงสร้างบางส่วนเปลี่ยนสภาพให้เหมาะต่อการคืบคลานบนบก  หรืออาจจะพบกับสัตว์ครึ่งนก-ครึ่งสัตว์เลื่อยคลาน ที่มีโครงสร้างเป็นทั้งสัตว์ปีกและสัตว์เลื่อยคลานในตัวเดียวกัน และหากว่าสัตว์ประเภทก่ำกึ่งมีความน่าจะเป็นได้จริงแล้ว เป็นไปได้สูงที่โครงสร้างร่างกายของสัตว์ประเภทนี้เกิดความบกพร่อง ทุกขพลภาพ หรือพิกลพิการไป
ดาร์วินได้เรียกสัตว์ที่เขาสันนิษฐานเอาเองเช่นนี้ว่า “transitional forms”  หรือสิ่งมีชีวิตที่กำลังอยู่ในช่วงของการวิวัฒนาการจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง ดาร์วินรู้ว่าการที่จะทำให้ทฤษฎีของเขาเป็นที่ยอมรับหรือได้รับการสนับสนุนก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการคุดพบซากสัตว์ หรือฟอสซิลที่มีลักษณะดังกล่าวนั้นคือซากฟอสซิลของ สัตว์ที่กำลังอยู่ในช่วงการวิวัฒนาการจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง ในหนังสือของดาร์วิน    the Origin of Species   เขาได้เขียนไว้ว่า
ถ้าทฤษฎีของผมเป็นจริงแล้วละก็ นั้นก็หมายความว่าจะต้องมีสิ่งมีชีวิตเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีลักษณะทางด้านลำตัวที่อยู่ในช่วงการวิวัฒนาการปรากฏให้เห็นอยู่อย่างแน่นอน  และสัตว์ที่ว่านั้นก็จะเป็นตัวเชื่อมไปสู่สัตว์ทุกชนิดที่แตกมาจากกลุ่มเดียวกัน และเมื่อเป็นอย่างที่ว่านี้แล้วก็จะต้องมีซากฟอสซิลของสัตว์ให้พบเห็นที่จะเป็นตัวบอกให้รู้ว่ามันได้เคยเป็นสัตว์ชนิดใดมาก่อนที่จะวิวัฒนาการมาเป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่ง3
อย่างไรก็ตามดาร์วินรู้ดีว่าซากฟอสซิลที่ถูกค้นพบนั้นไม่มีปรากฏให้เห็นเลยถึงข้อสันนิษฐานของเขาที่เกี่ยวกับสัตว์ที่อยู่ในช่วงการวิวัฒนาการจากสัตว์ชนิดหนึ่งไปสู่สัตว์อีกชนิดหนึ่ง นั้นคือเหตุผลที่เขาได้ยอมลงทุนเขียนบทๆหนึ่งขึ้นมาเป็นพิเศษในหนังสือของเขา  โดยกล่าวเกี่ยวกับปัญหานี้ไว้  โดยดาร์วินได้ตั้งคำถามที่น่าปวดหัวนี้ขึ้นมาว่า
ถ้าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาโดยผ่านขั้นตอนการวิวัฒนาการจริงแล้วล่ะก็ ทำไมเราไม่พบเห็นสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนสักที่เดียวที่จะมีลักษณะโครงสร้างที่กำลังจะกลายพันธุจากสัตว์ประเภทหนึ่งไปสู่สัตว์อีกประเภทหนึ่ง
“แต่ทว่าตามทฤษฎีนี้แล้วจะต้องมีสิ่งมีชีวิตประเภทดังที่กล่าวมา ให้ปรากฏเห็นนับจำนวนไม่ถ้วนที่กำลังจะกลายพันธุ์หรือกำลังวิวัฒนาการไปสู่สัตว์อีกชนิดหนึ่ง  แต่ทำไมเราไม่พบสัตว์ที่กล่าวมานี้ที่ถูกฝังอยู่ตามชั้นดินต่างๆเลย ทั้งๆที่มันน่าจะมีจำนวนที่นับไม่ถ้วน
ดาร์วินได้นึกจิตนาการเอาไปเองว่าสิ่งมีชีวิตที่กำลังอยู่ในช่วงการวิวัฒนาการนี้จะหาเจอได้ก็ต่อเมื่อซากฟอสซิลได้ถูกตรวจสอบกันเป็นอย่างดีมากกว่านี้” 4
ต่อจากนั้นนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่หลงเชื่อตามดาร์วินก็พยายามตรวจสอบชั้นดินทางด้านธรณีวิทยาทั่วโลกดูอีกในช่วง 104 ปีที่ผ่านมาโดยพยายามหาซากฟอสซิลที่หายไปของสิ่งมีชีวิตตามการวิวัฒนาการที่เขาจิตนาการขึ้นมาเองนี้ แต่ความพยายามทั้งหลายเหล่านั้นก็ต้องจบลงด้วยความผิดหวัง สิ่งมีชีวิตตามการวิวัฒนาการที่ดาร์วินได้จิตนาการไว้นี้ก็ยังคงเป็นการจินตนาการต่อไป ((อ่านต่อวันถัดไป-อินชาอัลลอฮฺ))
อ้างอิง
1. Robert L. Carroll, Patterns and Processes of Vertebrate Evolution, Cambridge University Press, 1997, p. 9 
2. Pierre Grassé, Evolution of Living Organisms, New York, Academic Press, 1977, p. 82
3. Charles Darwin, The Origin of Species, p. 179
4. Ibid., p. 172


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น