วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

ความล้มเหลวของทฤษฎีวิวัฒนาการด้วยหลักฐานทางฟอสซิล

หลักฐานทางฟอสซิล1สามารถหักล้างทฤษฎีวิวัฒนาการ 2
แปลและเรียบเรียง อิบินอุม 3

               ตามที่ทฤษฎีวิวัฒนาการได้กล่าวไว้ว่า สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตมีที่มา จากบรรพบุรุษเดียวกัน สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดนั้นเกิดขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตก่อนหน้าโดยอาศัยวิถีแห่งการเปลี่ยนแปลงค่อยเป็นค่อยไปจากรุ่นสู่รุ่น เป็นเวลายาวนานมาเกือบล้านๆปี
            ถ้ามันเป็นจริงตามคำกล่าวอ้างของทฤษฎีวิวัฒนาการแล้ว เราก็จะพบสิ่งมีชีวิตที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลง หรือ อยู่ในช่วง ” วิวัฒนาการ” จากสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง เป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะพบกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อยู่ระหว่างครึ่งปลา/ครึ่งสัตว์เลื่อยคลาน(ถ้ามันมีจริง) ซึ่งสามารถทำเนาได้ว่า สัตว์เลื่อยคลานมีการเปลี่ยนแปลงจากจากพี่น้องของมันที่เป็นปลาก็ได้ หรือเราอาจจะพบกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อยู่ระหว่างครึ่งสัตว์เลื่อยคลาน/ครึ่งนก และเราก็สามารถอือออ ได้ว่าสัตว์ปีกสามารถเกิดวิวัฒนาการจากสัตว์เลื่อยคลานได้เช่นกัน
            
หากกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในช่วงของการเกิดวิวัฒนาการมีจริงแล้ว เราก็สามารถคาดการณ์ได้ว่า ต้องมีหลักฐานทางฟอสซิลจำนวนพันล้านกว่าชนิดหรือมากกว่านั้นที่สามารถยืนยันกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะดังกล่าวได้ ซึ่งจำนวนของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ระหว่างการเกิดวิวัฒนาการนี้ต้องมากกว่าสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะสมบูรณ์แล้ว และซากของพวกมันก็ต้องพบเห็นทั่วไปในปฐพีนี้ด้วยเช่นกัน แต่แล้วดาร์วินกลับยอมรับความจริงข้อนี้ ในหนังสือ The Origin of Species ของเขาไว้ว่า
ถ้าทฤษฎีของข้าพเจ้าเป็นจริงแล้ว เราต้องพบสิ่งมีชีวิตที่อยู่กึ่งกลางสิ่งมีชีวิตสองชนิดที่มีความสัมพันธ์ภายในกลุ่มเดียวกันอย่างแน่นอน... ซึ่งหลักฐานที่สามารถยืนยันการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตดังกล่าวต้องอยู่ในรูปของฟอสซิล4
ถึงกระนั้นก็ตามดาร์วินตระหนักถึง สิ่งมีชีวิตที่อยู่ระหว่างการวิวัฒนาการไม่อาจค้นพบได้ แต่เขาคาดหวังถึงการค้นพบซากฟอสซิลของมันในอนาคตอันใกล้ และเขาก็ทราบดีอีกว่า การขาดหลักฐานทางฟอสซิลวิทยา เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ทฤษฎีวิวัฒนาการถึงคราวจุดจบ ดังปรากฎในหนังสือ The Origin of Species บทที่ว่าด้วยความยุ่งยากของทฤษฎีนี้ (Difficulties on theory)
...อย่างไรก็ตาม หากสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีสายตระกูลจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นได้ ทำไมเราไม่สามารถพบสิ่งมีชีวิตที่อยู่ระหว่างการวิวัฒนาการ? ทำไมหลักฐานที่พบเจอจึงปฏิเสธแนวคิดของเรา แทนที่จะยืนยันการมีอยู่จริงของสิ่งมีชีวิตดังกล่าว มันสามารถค้นพบได้ หรือมันไม่มีอยู่จริง? ... แต่ถ้าทฤษฎีinnumerable transitional forms (ทฤษฎีแบบการเปลี่ยนแปลงเชิงมหัพภาค-ผู้แปล) เป็นจริงแล้ว ทำไมเราไม่พบเจอสิ่งมีชีวิตดังกล่าวในแผ่นเปลือกโลกนี้เลย? ทำไมศาสตร์ธรณีวิทยาไม่เปิดเผยสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เลย ความที่ไม่สามารถค้นพบได้ (อาจจะมันฝังแน่นใต้แผ่นดินอันลี้ลับ)นี้ มันทำให้ทฤษฎีของเราไม่มีทางเป็นไปได้เลย
            เพื่อความถูกต้องในการทำนายของทฤษฎีวิวัฒนาการนี้จึงจำเป็นอย่างต้องอาศัยหลักฐานทางฟอสซิลมายืนยัน แต่ดาร์วินกลับไม่สามารถหามันมาเปิดเผยได้ แต่เขาก็ยังคงปักใจเชื่อว่า ถ้ามีการศึกษาฟอสซิลอย่างละเอียดแล้ว สิ่งมีชีวิตที่อยู่ระหว่างรอยต่อ(ระหว่างการเกิดวิวัฒนาการ) ก็น่าจะพบเจอได้เช่นกัน
            เพื่อให้การพยากรณ์ของดาร์วินเป็นจริงให้ได้ นักวิวัฒนาการรุ่นบรรพกาลจึงต้องพยายามหาจิ๊กซอที่ขาดหายไป  ความพยายามของเขาเริ่มตั้งช่วงกลางศตวรรษที่19 มาแล้ว แต่ผลของการพยายามดังกล่าวกลับพบเจอคำตอบเดิมๆตลอด คือ “ไม่พบเจอซากสัตว์ที่อยู่ในช่วงวิวัฒนาการ” ซากฟอสซิลที่ค้นพบล้วนไม่สามารถสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการได้ แถมยังปฏิเสธทฤษฎีนี้อย่างหาช่องปิดไม่มิด แต่มันกลับทำให้เขาได้ตระหนักว่า “สิ่งมีชีวิตต่างๆล้วนอุบัติขึ้นมาด้วยรูปแบบโครงสร้างที่ซับซ้อนและสมบูรณ์แบบโดยทันใด (กล่าวคือสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกันในอดีตกับปัจจุบันมีลักษณะเหมือนเดิมกันตลอด-ผู้แปล)” ดังที่นักวิวัฒนาการบางคนได้ออกมายอมรับความล้มเหลวของทฤษฎีนี้
           
Derek V. Ager นักบรรพชีวินวิทยา (paleontologist: นักวิจัยเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในอดีต) ชาวอังกฤษผู้โด่งดัง หนึ่งในนักวิวัฒนาการนิยม ออกมายอมรับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า
          ดั่งที่เราได้ศึกษารายละเอียดฟอสซิลสิ่งมีชีวิตต่างๆ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตอยู่ในลำดับ(Order) ไหนก็ตาม สิ่งที่เราค้นพบมันไม่สอดคล้องกับทฤษฎีวิวัฒนาการเอาเสียเลย หรือ โลกอาจเกิดการระเบิดทันทีทันใดจนเกิด สิ่งมีชีวิต (ที่เราพบเห็นปัจจุบัน-ผู้แปล)ขึ้นมา โดยทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ (ที่เราคาดว่าจะมี-ผู้แปล) ถูกทำลายลงไป6
            Mark Czarnecki นักวิวัฒนาการรุ่นบรรพกาลอีกคนหนึ่ง ได้ให้ข้อเสนอแนะไว้ว่า
          ปัญหาอันใหญ่หลวงของทฤษฎีวิวัฒนาการอยู่ที่หลักฐานทางฟอสซิลวิทยา ร่องรอยของมันถูกฝังลึกลงไปใต้ธรณี และมันก็ไม่เคยเผยตัวออกมา เพื่อสนับสนุนแนวความคิดเรื่องการเกิดสิ่งมีชีวิตแบบก้ำกึ่งของดาร์วินเลย แต่สิ่งที่เรากลับพบคือ มีสิ่งชีวิตรูปแบบอื่นมาแทนที่ ซึ่งทำให้ระบบความเชื่อเรื่องการเกิดสิ่งมีชีวิตโดยไม่มีผู้สร้างถึงคราวล้มเหลว แต่กลับต้องยอมจำนนว่าพวกมันต้องเกิดขึ้นมาจากน้ำมือของพระเจ้า 7
          ความแตกต่างของฟอสซิลที่เกิดขึ้นนี้ เขา(นักวิวัฒนาการ) ไม่สามารถกล่าวอ้างได้เลยว่า มันมีไม่เพียงพอ หรือยังไม่สามารถค้นพบได้อีก หรืออาจจะพบในภายภาคหน้า นักวิชาการชาวอเมริกัน นามว่า Robert Wesson ได้เขียนไว้ในหนังสือ Beyond Natural Selection (ความแปลกประหลาดของการคัดเลือกตามธรรมชาติ-ผู้แปล) ว่าด้วยเรื่อง “ความจริงและความประหลาดของฟอสซิลที่พบเจอ” เขาได้ขยายความไว้ว่า
         
ความแตกต่าง(ของฟอสซิล)ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริง อย่างไรก็ตาม การที่ไม่พบหลักฐานต่างๆมายืนยันทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างมาก แสดงว่าสิ่งมีชีวิตต่างมีความเสถียร (คือไม่เกิดวิวัฒนาการแต่อย่างใด-ผู้แปล) ถึงแม้จะผ่านไปนานเท่าใดก็ตามที การเกิดสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดนั้นก็ไม่ปรากฏการวิวัฒนาการจากสิ่งหนึ่งมาเป็นอีกสิ่งหนึ่งเลย 8
          การอุบัติขึ้นของสิ่งมีชีวิตภายใต้รูปแบบอันซับซ้อนโดยทันที
                จากผลการศึกษาเปลือกโลกและหลักฐานทางฟอสซิลวิทยา ทำให้เราทราบว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีมาตั้งแต่อดีตอย่างต่อเนื่อง เปลือกโลกเก่าแก่ที่สุดที่ตรวจพบซากของฟอสซิลที่ยังมีชีวิตอยู่ อยู่ในยุคแคมเบรียน  (Cambrian ) มีช่วงอายุราว 500-550 ล้านปี
            ซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตต่างๆในยุคแคมเบรียน มีลักษณะเดียวกับสิ่งมีชีวิตที่พบได้ในปัจจุบัน และไม่พบสิ่งชีวิตที่อยู่ระหว่างวิวัฒนาการเลย ซากฟอสซิลที่ขุดพบนี้ ส่วนใหญ่เป็นพวกหอยทาก (snails),แมลงทะเล(trilobites),ฟองน้ำ(spongs),ไส้เดือน(earthworms),แมงกะพรุน (jellyfishes),เม่นทะเล(sea hedgehogs)และสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังทั้งหลาย สิ่งมีชีวิตที่พบเจอทั้งหมดนี้ล้วนแต่มีโครงสร้างที่สลับซับซ้อนซึ่งมันเกิดขึ้นมาทันทีทันใดพร้อมๆกับการกำเนิดขึ้นมาบนโลกเลย เปรียบเสมือนว่ามันเกิดจาก “ระเบิดแคมเบียน” ตามแนวคิดของนักสัณฐานวิทยา
ทุกสรรพสิ่งที่ค้นพบมานี้นอกจากมีโครงสร้างที่สลับซับซ้อนแล้ว แต่ยังมีระบบอวัยวะที่มีความแปลกประหลาดและซับซ้อนอย่างน่าอัศจรรย์เลยทีเดียว เช่นระบบตา,เหงือกและระบบหมุนเวียนภายในร่างกาย ซึ่งมีลักษณะที่เหมือนกันกับสิ่งมีชีวิต(ชนิดเดียวกัน) ที่พบเห็นในปัจจุบัน ตัวอย่างความอัศจรรย์ของการสร้าง ระบบเลนส์คู่,ระบบตารวงผึ้ง (combed eye) ของแมลงทะเล ซึ่งศาสตราจารย์ด้านสัณฐานวิทยาชาวอเมริกาได้กล่าวไว้ว่า

          แมลงทะเลมีที่ค้นพบใน450 ล้านปีที่แล้ว มีระบบการมองเห็นที่ซับซ้อนและมหัศจรรย์อย่างมากจนนักวิศวะทางสายตาสนใจเลียนแบบเพื่อพัฒนาเครื่องมือสมัยใหม่9
           
สัตว์ไม่มีกระดูกลันหลังมีความสมบูรณ์ภายในตัวของมันเองในทันทีที่มันได้เกิดขึ้น โดยปราศจากการเชื่อมต่อระหว่างสิ่งมีชีวิตใดชนิดหนึ่งและไม่เกิดจากสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวด้วยเช่นกัน
Richard Monastersky นักวารสารศาสตร์ของ Science News ซึ่งเป็นวารสารที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีชื่อเสียง ซึ่งเขียนเกี่ยวกับ “ระเบิดแคมเบรียน” ทำให้ทฤษฎีวิวัฒนาการถึงคราวจบไว้ว่า
ในช่วง500ล้านปีก่อน สัญญานของสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างซับซ้อนเหมือนกับปัจจุบันได้ถูกค้นพบไว้แล้ว และมันมีจุดเริ่มต้นอยู่ในยุคแคมเบรียน การระเบิดครั้งนั้นเกิดขึ้นทั้งในทะเลและบนพื้นแผ่นดิน...สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ก็ได้ปรากฏในช่วงต้นของยุคแคมเบรียน โครงสร้างและสัญชาติญาณของมันต่างเหมือนกับสิ่งมีชีวิต (ชนิดเดียวกัน-ผู้แปล) ปัจจุบันกาลเช่นกัน 10

1. ซากดึกดำบรรพ์ หรือ บรรพชีวิน หรือ ฟอสซิล (อังกฤษ: fossil) คำว่า ฟอสซิล มีความหมายเดิมว่า เป็นของแปลกที่ขุดขึ้นมาได้จากพื้นดิน แต่ในปัจจุบันถูกนำมาใช้ในความหมายของซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่ถูกแปรสภาพด้วยกระบวนการเกิดซากดึกดำบรรพ์และถูกเก็บรักษาไว้ในชั้นหิน โดยอาจประกอบไปด้วยซากเหลือของสัตว์ พืช หรือกลุ่มของสิ่งมีชีวิตอื่นใดๆที่ได้รับการจัดแบ่งจำแนกไว้ทางชีววิทยา และรวมถึงร่องรอยต่างๆของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ (คัดจาก: http://th.wikipedia.org/wiki/)
2. Harun Yahya, "Atlas of Creation1", GLOBAL PUBLISHING, November 2008.p.751-755.
3.      สมาชิกกลุ่มอัซซาบิกูน เว็บไซต์ www.อิสลาม.net  www.antirafidah.com 
4. Charles Darwin, The Origin of Species: A Facsimile of the First Edition, Harvard University Press, 1964, p. 179.
5. Charles Darwin, The Origin of Species, Oxford University Press, New York,   1998, pp. 140, 141, 227.
6. Derek V. Ager, "The Nature of the Fossil Record", Proceedings of the British Geological  Association, Vol 87, 1976, p. 133.
7. Mark Czarnecki, "The Revival of the Creationist Crusade", MacLean's, January 19, 1981, p. 56.
          8. R. Wesson, Beyond Natural Selection, MIT Press, Cambridge, MA, 1991, p. 45
        9. David Raup, "Conflicts Between Darwin and Paleontology", Bulletin, Field Museum of  Natural     History, Vol 50, January 1979, p. 24
10. Richard Monastersky, "Mysteries of the Orient", Discover, April 1993, p. 40.



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น