วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ตะลุยดินแดน แห่งการโกหก กับหนุ่มน้อยจอมอหังการ ชาลส์ ดาร์วิน (สำหรับเด็กที่ผู้ใหญ่อ่านได้)

เขียน ฮารุน ยาฮฺยา
แปลและเรียบเรียง อิบินอุม 1 (mtc113@gmail.com)
ดาวน์โหลดที่ : 
 http://www.4shared.com/document/wVqsQs7H/___online.html
ตะลุยด่านแรก
อาณาจักรแห่งมายากล กับความโง่เขลาของดาร์วิน
                ก่อนที่เราจะเริ่มออกเดินทางสู่อาณาจักรแห่งมายากล หนูๆควรตรวจสอบสัมภาระให้เรียบร้อยก่อนนะครับ ทั้งเครื่องแต่งกาย เสื้อผ้า รองเท้าบู๊ดอย่างดี ไฟฉาย ขนม และยารักษาโรค หวังว่าทุกคนคงไม่ลืมนะครับ
            แต่เอ้!เนื่องจากดินแดนที่เราจะมุ่งหน้าไปนี้ มันอันตรายมากเหลือเกิน มันร้ายกาจมาก จนครูไม่ลืมที่จะบอก ความจริงบางอย่าง ให้หนูๆได้รับทราบก่อน เผื่อว่าจะได้ไม่พลัดหลง หรือไม่ถูกเจ้าดาร์วินเล่นงานได้
            หนูๆทราบหรือเปล่าว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆตัวหนู ทั้งที่หนูสามารถมองเห็นได้ และมองเห็นไม่ได้ ทั้งที่อยู่ไกล หรือที่อยู่ใกล้ ทั้งหมดนั้นย่อมมีผู้สร้างเพียงองค์เดียว ซึ่งเขานั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถสูงสุด สามารถสร้างทุกสรรพสิ่ง เช่นพ่อแม่ พี่น้องของหนู ดวงอาทิตย์ที่มีแสงสว่างไสว ดวงจันทร์ ดวงดาวเป็นประกายบนท้องฟ้า โลกที่หนูอาศัยอยู่ สัตว์เลี้ยงของหนู ดอกไม้ใบหญ้าสีสันสวยงาม ผลแอปเปิ้ลแดงๆที่อยู่บนต้นไม้สูง  รวมไปถึงตัวของหนูเองด้วย
          และเราเรียกเขาผู้นั้นว่า พระเจ้าหรืออัลลอฮฺ
          แต่แล้วมีคนบางกลุ่ม กลับปฏิเสธความจริงในเรื่องนี้ เขาเหล่านั้นพยายามกุเรื่องโกหกขึ้นมาว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างเกิดขึ้นมาเองด้วยความบังเอิญ โดยไม่มีผู้ใดสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น ซึ่งเราเรียกความเชื่อนั้นว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการ และคนที่มีความเชื่อดังกล่าวถูกเรียกว่า นักวิวัฒนาการ
นักวิวัฒนาการจอมลวงโลก ที่ร้ายกาจที่สุด คือ ชาลส์ ดาร์วิน คนที่หนูๆจะได้รู้จักในไม่ช้านี้
เมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้วชาลส์ ดาร์วิน ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า แหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิต (The Origin of Species) ซึ่งเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ บอกรายละเอียดของแหล่งกำเนิดสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจากความบังเอิญ ความเชื่อลักษณะนี้ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะนักวิวัฒนาการ ที่นำเรื่องโกหกนี้ ไปหลอกลวงเพื่อนๆหนู ญาติๆหนู และก็คนทั้งโลกเลยก็ว่าได้
            เห็นไหมครับว่า มันร้ายกาจแค่ไหน
            หนูๆอย่าเพิ่งตกใจเป็นอันขาดเชียว ปัจจุบันจากผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เปิดเผยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องมาจากพระเจ้าเป็นผู้สร้าง การเกิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญของสิ่งมีชีวิตนั้น เป็นเรื่องโกหกทั้งหมดเลย
            ถึงตอนนี้ หนูเชื่อหรือยังว่าอัลลอฮฺ พระเจ้าของเราสามารถสร้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ ? เดี๋ยวครู จะเล่าเรื่องมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งให้หนูฟังนะครับ
            ร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด รวมไปถึงร่างกายมนุษย์ด้วย ถูกรวมตัวมาจากสิ่งๆหนึ่งที่มีขนาดเล็กมากๆจนเราไม่สามารถมองมันด้วยตาเปล่าของเราได้ สิ่งๆนั้นเราเรียกว่า กลุ่มเซลล์ (Cells) หนูจินตนาการออกไม่ว่าขนาดของเซลล์เล็กมากแค่ไหน? ครูจะลองเปรียบเทียบดูว่า ถ้าหนูนำหัวเข็มหมุดมาโชว์ให้เพื่อนๆดู ขนาดหัวเข็มหมุดนี้จะประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ล้านๆเซลล์เลยทีเดียว แล้วถ้าหนูลองเอากล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนมาส่องดูกลุ่มเซลล์แล้ว หนูจะเห็นความมหัศจรรย์ของอนุภาคที่อยู่ในมัน มากกว่าสิ่งที่หนูเคยเห็นบนรถบัสโรงเรียน ในโทรทัศน์ หรือในอินเตอร์เน็ตเป็นร้อยเท่า พันเท่าเลย
            ในความเป็นจริงแล้วเซลล์(ที่อยู่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต)เหล่านั้นจะทำงานเป็นระบบคล้ายกับโรงงานขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่หนูๆมักเห็นในรายการโทรทัศน์ และพวกมันไม่เคยหยุดทำงานเลยแม้แต่วินาทีเดียว โดยเซลล์แต่ละเซลล์จะมีหน้าที่เฉพาะอย่างและมีความสำคัญต่อโรงงานมาก บ้างก็เป็นศูนย์กลางการผลิต,ศูนย์กลางการคมนาคมและการสื่อสาร,ศูนย์ควบคุมระบบคอมพิวเตอร์และป้องกันภัยในโรงงาน, ห้องสมุด และศูนย์ควบคุมอื่นๆอีกมากมาย
            ถ้าสมมุติมีคนมาบอกหนูว่า โรงงานเหล่านั้นเหล่านั้นเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ! และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเกิดขึ้นเองด้วยความบังเอิญภายใต้กระบวนการทางธรรมชาติโดยไม่มีใครเป็นผู้สร้าง!!! แน่นอนสิ่งที่หนูจะตอบกลับไปก็คือ เรื่องไร้สาระหรือคนที่พูดในลักษณะดังกล่าวคงมีสติไม่สมประกอบเป็นแน่ แต่แล้วมีคนโง่เขลาอยู่คนหนึ่ง (ที่หนูคงได้คุ้นหูมาบ้างแล้ว ข้างต้น) ได้พยายามฝืนคิดให้สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาโดยไม่มีผู้ใดสร้าง ซึ่งครูยืนยันต่อความคิดของเขาว่า เป็นความคิดที่งมงาย ไร้เหตุผลสิ้นดี
            หนูลองท้า นักวิวัฒนาการดูว่า ถ้าเขาคิดว่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นได้เองโดยปราศจากผู้สร้างแล้ว ลองให้เขาเอากล่องมายากลใบใหญ่มา แล้วให้เขาใส่อะไรก็ได้ที่เขาคิดว่าน่าจะทำให้สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาได้ลงไปในกล่องใบนั้น เช่นใส่กรดอะมิโน,โปรตีน,คาร์บอน,โปแทสเซียม,แคลเซียม หรืออะไรต่อมิอะไรลงไป แล้วทำให้กล่องมายากลใบนั้นร้อนขึ้น หรือเย็นลง หรือทำแบบไหนก็ได้
            ครูถามว่า เขาสามารถเสกสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้ไหม ?
            และครูขอท้าพวกเขาอีกว่า ให้เขานำเครื่องมืออันทันสมัยมา นำผู้เชี่ยวชาญทางชีววิทยา สรีระวิทยา กายวิภาคศาสตร์ พันธุศาสตร์ ต่างๆเหล่านั้น ร่วมกันสร้างสิ่งมีชีวิตจากองค์ประกอบที่ผสมอยู่ในกล่องมายากลใบนั้น
            แล้วครูจะถามต่อไปว่า เขาสามารถเสกสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้ไหม ?
            ลองให้โอกาสอีกสักครั้ง พันครั้ง ให้เขาใช้ความคิดอันชาญฉลาดของพวกเขา สร้างสิ่งมีชีวิตแค่ชนิดเดียวมาจากกล่องมายากลใบนั้น ให้เวลาสร้างพันปี หมื่นปี ล้านปี ล้านๆปี (ถ้าพวกเขาไม่ตายเสียก่อน!!!)
            ครูจะถามเป็นครั้งสุดท้ายว่า เขาสามารถเสกกระต่าย, ลิง, จระเข้, ช้าง, แมลง,มด,มะนาว,มะขาม,มะยม,มะขวิด,แตงโม หรือสิ่งมีชีวิตอะไรก็ได้ขึ้นมาซักชนิดได้ไหม ?
            คำตอบ ที่หนูสามารถตอบแทนพวกเขาได้อย่างเต็มปาก คือคำว่า ไม่
           
ดังที่หนูได้ทราบมาแล้วว่า        ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเลยเกิดขึ้นมาจากกล่องมายากลเน่าๆใบนั้น กลุ่มอะตอม2 หรือกลุ่มเซลล์ไม่สามารถสร้างตัวเองให้กลายเป็นสิ่งๆหนึ่งได้หากปราศจากผู้สร้างมัน (คืออัลลอฮฺ พระเจ้าของเรา) พวกมันไม่มีความสามารถกำเนิดโอซามะฮฺ บินลาเด็น มาเป็นวีรบุรุษกอบกู้โลกมุสลิมจากศัตรูตัวฉกาจอย่างอเมริกาและยิวได้, ไม่สามารถสร้างนักรบมุจาฮีดีนขึ้นมาต่อสู้กับผู้บุกรุกได้, ไม่สามารถสร้างอุลามะอฺ (นักวิชาการ) มาให้ความรู้แก่เราและปกป้องเกียรติของท่าน นบีและบรรดาซอฮาบะฮฺจากพวกชีอะฮฺรอฟีเดาะฮฺและพวกนอกรีตอื่นๆได้, มันไม่สามารถสร้างครูและตัวหนูให้มาเป็นคนดีของสังคมได้เลย และเป็นที่ยืนยันแล้วว่ามันไม่สามารถสร้างมนุษย์มาอ่านอัลกุรอ่าน, ทำการละหมาด, กินข้าว, อาบน้ำ, เขียนหนังสืออ่านหนังสือ, เตะฟุตบอล, รดน้ำต้นไม้, ยิ้ม, หัวเราะ, ร้องไห้, มีเพื่อนมากมาย, มีความคิดดีๆอย่างหนูได้เลย
ถึงแม้กลุ่มของเซลล์ไม่สามารถเกิดทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่พวกมันก็ไม่สามารถสร้างตัวเองได้เช่นกัน พวกมันล้วนเกิดจากพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น
เป็นยังไงบ้างครับหนูๆ สำหรับการตะลุยด่านแรกของเรา เห็นไหมว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากอัลลอฮฺ ผู้เป็นพระเจ้าของเรา ผู้ที่มีความฉลาดที่สุด หนูๆคงได้ทราบความงี่เง่าของหนุ่มน้อยดาร์วินมาบ้างแล้วนะครับ เห็นไหมว่ากล่องมายากลของเขาใช้ไม่ได้เลย แม้ว่าจะผสมอะไรต่อมิอะไร หรือหาคนที่มีความสามารถที่สุดมาทำการทดลองก็ตาม สิ่งมีชีวิตก็ไม่สามารถเกิดจากกล่องใบนั้นได้
อาณาจักรแห่งมายากล กับความโง่เขลาของดาร์วินผ่านไปแล้ว ต่อไปเราจะไปตะลุยด่านที่สอง ตัวตนของดาร์วิน ณ อาณาจักรแห่งความงมงาย ดินแดนคนไร้สติ!!!
หนูจะได้พบกับตัวตนที่แท้จริงของหนุ่มน้อยจอมอหังการ และกลุ่มคนต่างๆมากมายที่มีความเชื่อในเรื่องวิวัฒนาการ หากหนูได้พบเจอพวกเขาแล้ว หนูอย่าลืมสิ่งที่ครูได้แนะนำหนูตั้งแต่ต้นนะครับว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากการสร้างของ อัลลอฮฺ หนูลองใช้ความรู้และทักษะที่ครูสอนไปในด่านแรก มาใช้กับกลุ่มคนที่หนูจะได้เจอในด่านที่สอง หวังว่าหนูจะผ่านพวกเขาได้
วันนี้เราไปพักผ่อนกันก่อน เดี๋ยวเราค่อยตะลุยกันใหม่ครั้งหน้าครับ กับตัวตนของดาร์วิน ณ อาณาจักรแห่งความงมงาย ดินแดนคนไร้สติ!!!









ตะลุยด่านที่สอง
ตัวตนของดาร์วิน ณ อาณาจักรแห่งความงมงาย ดินแดนคนไร้สติ!!!

      เป็นยังไงบ้างครับหนูๆ หลังจากที่ได้ที่เราได้ผ่านด่านแรกไปแล้ว หวังว่าหนูๆคงมีพื้นฐานความรู้ในเรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการกันบ้างแล้วนะครับ ต่อไปนี้เราจะตะลุยด่านที่สองกันครับ ครูจะพาหนูๆได้รู้จักกับตัวตนของชาลส์ ดาร์วิน และผู้ร่วมสมทบกับแผนการทดลองกำเนิดสิ่งมีชีวิตที่ไร้สติที่สุด เราจะมาดูกันว่า ดาร์วินและพรรคพวกของเขาจะทำการทดลองสำเร็จหรือไม่ และผลตอบรับจากนักวิทยาศาสตร์จะเป็นอย่างไร เดี๋ยวเรามาตะลุยพร้อมๆกันครับ
            เมื่อจอมอหังการชาลส์ ดาร์วินอยู่ในช่วงวัยหนุ่ม เขาต้องการร่วมเดินทางสำรวจท้องที่ต่างๆกับเรือบีเกิลเป็นอย่างมาก เขาเคยใฝ่ฝันไว้ว่า เขาจะต้องหาคำตอบเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตให้ได้ และแล้วเรือบีเกิลได้เทียบท่า ณ เกาะกาลาปากอส
            ดาร์วิน : โอ้โห้ หมู่เกาะกาลาปากอส!!! สวยงามมาก!!! ที่ตรงนี้แหละจะเป็นจุดเริ่มต้นการวิจัยของฉัน
          ในขณะที่เรือบีเกิลล่องไปรอบๆเกาะ ดาร์วินก็ได้พบเจอบรรดานกต่างๆอวดสีสันอย่างหนาตาจนเขาต้องอยู่ในอาการตกตะลึง
            ดาร์วิน : โอ้โห จะงอยปากของนกเหล่านั้นน่าสนใจมากเลย? ทำไมหนอพวกมันมีปีกสีสันสวยงามขนาดนี้?
            หลังจากการเดินทางครั้งนั้น ดาร์วินก็ได้กลับไปยังประเทศอังกฤษ บ้านเกิดเมืองนอนของเขา แต่ในใจเขายังเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความสงสัยต่อสิ่งมีชีวิตที่เขาได้พบตลอดการเดินทาง ณ เกาะกาลาปากอส
            ดาร์วิน : เป็นไปได้ไหมเนี่ย นกเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ? เอ้! ถ้ามันเกิดขึ้นเองได้จริง ทำไมหนอ นกยูงตัวผู้ที่เราพบที่เกาะกาลาปากอส ช่างมีรูปลักษณ์ที่สวยงามยิ่งนัก? ฉันต้องหาคำตอบเหล่านั้นมาให้ได้
            หนึ่งปีผ่านไป ดาร์วินก็ยังคงขะมักเขม้นทดลองเพื่อหาคำตอบ แต่ปัญหาอุปสรรคอยู่ที่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สมัยนั้นยังไม่ก้าวหน้าพอ ทำให้การทดลองเกิดผิดพลาดมากมาย
            ดาร์วิน : เซลล์มีความสำคัญมากต่อสิ่งมีชีวิต ฉันจำเป็นต้องศึกษารายละเอียดของมันก่อนเป็นลำดับแรก
            ดังที่ครูบอกหนูๆไปแล้วว่า เครื่องมือวิทยาศาสตร์สมัยดาร์วินนั้นยังไม่ก้าวหน้า การศึกษารายละเอียดโครงสร้างต่างๆภายในเซลล์ยังไม่ชัดเจน ทำให้ดาร์วินมองเห็นเซลล์เป็นจุดเล็กๆเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นบ่อเกิดของการสรุปผลการทดลองที่ผิดพลาด
            เมื่อดาร์วินส่องเห็นเซลล์เป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ ดาร์วินดีใจมากจนต้องกระโดดโลดเต้นไปมาพร้อมตะโกนออกมาดังๆว่า : ใช่แล้ว!!! เซลล์มีโครงสร้างง่ายๆนี้เอง โครงสร้างเล็กๆแบบนี้ต้องเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญอย่างแน่นอน!!!
            จากการสรุปผลการทดลองที่ผิดพลาด ทำให้ดาร์วินต้องมาตอบคำถามอีกหลายๆข้อตามมา
            ดาร์วินกำลังถามตัวเอง : เอ้! สิ่งมีชีวิตในโลกนี้มีมากมายหลายชนิด แล้วพวกมันจะมาจากเซลล์แค่เซลล์เดียวได้อย่างไรหน๋อ?
            ถึงแม้ข้อสรุปของเขาผิดพลาด แต่หนุ่มน้อยก็ยังคงยืนยันความถูกต้องในความคิดนี้ เขาคิดว่า อาจจะเป็นไปได้ที่สิ่งมีชีวิตในโลกมีต้นกำเนิดจากเซลล์ๆเดียวกันทั้งหมด จากนั้นเซลล์เกิดวิวัฒนาการไปเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่ง และมันก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง และเป็นอีกชนิดหนึ่ง อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนในที่สุดกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทั้งหมดดังที่เราได้เห็นปัจจุบัน เราเรียกการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการ
            จากความคิดในลักษณะดังกล่าวของดาร์วิน ทำให้เขากลายเป็นคนที่ปฏิเสธพระเจ้าโดยทันที เพราะความเชื่อนี้ไปสนับสนุนกับลัทธิปฏิเสธพระเจ้า (Atheism) อย่างหลีกหนีไม่ได้
            ดาร์วินได้เสนอความคิดในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า ต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต (The Origin of Species) ซึ่งตีพิมพ์ปีค.ศ.1859
            ถึงกระนั้นก็ตาม เจ้าหนูจอมอหังการกลับไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เมื่อผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในภายหลังเปิดเผยความผิดพลาดของทฤษฎีวิวัฒนาการจนได้ เช่น จากผลการทดลอง ของนายเกรเกอร์ เมนเดล (Gregor Mendel) นักพันธุศาสตร์ (หรือนักพืชศาสตร์) ชาวออสเตรีย ซึ่งทำการทดลองเกี่ยวกับพืช ผลการทดลองของเขาบ่งบอกให้เราทราบว่า ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนถูกถ่ายทอดลักษณะกรรมพันธุ์จากบรรพบุรุษซึ่งมีลักษณะเฉพาะเจาะจงในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดเท่านั้น เรียกกฎที่เมนเดลตั้งนี้ว่า “กฎการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม”3 (Law of heredity) ทำให้ทฤษฎีวิวัฒนาการหมดความเชื่อถือลงทันที
            ดาร์วิน (สีหน้ากังวลใจอย่างมาก) : เมนเดลได้ค้นพบกฎการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแล้ว? แล้วเราจะทำอย่างไรดีเนี่ย ?
            เมื่อเราได้ตรวจสอบเนื้อหาของทฤษฎีวิวัฒนาการแล้ว เราจะพบความเชื่อของดาร์วิน ต่อลักษณะของเซลล์ซึ่งมีโครงสร้างแบบง่ายๆ  แต่ความจริงนั้นมันมีความซับซ้อนกว่าที่เขาคิดมาก วันหนึ่งสหายของดาร์วินที่ไม่สามารถยอมรับความคิดของเขาได้ มาบอกข้อเท็จจริงบางอย่างให้เขา โดยพวกเขาได้เริ่มสนทนากันดังนี้
            สหาย: โอ้! นายชาลส์ ฉันว่าความคิดของนายนะ ไม่สมเหตุสมผลเลยละ มีอย่างที่ไหนสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนสมบูรณ์แบบขนาดนั้นจะเกิดขึ้นได้ด้วยความบังเอิญ? หรือมันเกิดจากเซลล์ที่ไม่มีชีวิตได้?
            ดาร์วิน : ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ละเพื่อน? โลกนี้เกิดขึ้นมานานแล้วนะ เซลล์ที่ไม่มีชีวิตสามารถเขย่าตัวเองได้ และสามารถกลายมาเป็นต้นแบบสิ่งมีชีวิตอย่างช้าๆได้ ถึงแม้ต้องอาศัยเวลาที่ยาวนานไปหน่อยก็ตาม
            สหาย: หรือนายกำลังจะบอกชาวโลกทั้งหลายว่า สิ่งมีชีวิตอีกมากมายอย่างคน ปลา ต้นแอปเปิ้ล และอื่นๆอีกเกิดขึ้นได้เองด้วยความบังเอิญอย่างนั้นเหรอชาลส์? มันจะง่ายไปหน่อยไหม? ทั้งๆที่นายไม่สามารถหาอะไรมายืนยันได้เลย? แล้วนายยังคงปักใจเชื่ออย่างนั้นอีกเหรอ เพื่อน?
            ดาร์วิน: ใช่
            สหาย (ควบคุมอารมณ์): ชาลส์ หรือนายกำลังเสนอความคิดว่า สิ่งมีชีวิตที่มีความสวยงามนั้นเกิดการแบ่งตัวของเซลล์เดี่ยวด้วยความบังเอิญ ทั้งที่มันเองก็เกิดมาด้วยความบังเอิญอีกทีหนึ่งนั้นเหรอ?
            ดาร์วิน: ใช่
            สหาย: ความเชื่อของนายเป็นแค่ความคิดที่ลอยๆเท่านั้น นายไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ความจริงให้เราเห็นได้ แต่ถ้านายเชื่อแบบนั้นจริง มันง่ายสำหรับนายเลย ที่จะทำการทดลองภายใต้เงื่อนไขที่นายคิดว่าจะเกิดเซลล์ขึ้นมา!!!
          ดาร์วิน(หลังจากที่เงียบไปนาน) : ใช่ ฉันคิดอย่างนั้นเหมือนกัน!!!
            สหาย: ชาลส์! มีสิ่งหนึ่งที่เป็นความจริง ซึ่งฉันไม่มีวันลืมที่จะบอกนาย เป็นกฎของธรรมชาติเลยว่า แสงอาทิตย์ หิน ดิน ทราย หรืออะไรต่างๆมันไม่มีจิตใต้สำนึกหรือไม่สามารถคิดที่เกิดสิ่งนั้น สิ่งโน้นด้วยตัวมันเองได้เลย แต่มนุษย์เราสามารถมีสติปัญญาอันชาญฉลาด เราสามารถคิดได้ว่าสิ่งมีชีวิตต้องเกิดมาจากสิ่งใด ภายใต้สถานการณ์ยังไง ดังนั้น นายลองทำการทดลองตามสบายเถอะ ฉันจะดูว่าจะมีเซลล์ซักกี่ตัวเกิดขึ้นมาหลังจากนายทดลองไปแล้ว!!!
          ดาร์วิน (ตกอยู่ในอาการเงียบสงัด)...
            สหาย : เริ่มทดลองได้เลยตอนนี้ชาลส์ เราจะได้รู้ซะที ว่าความคิดทั้งหมดของนายมันผิดหรือถูก และฉันขอเรียกการทดลองที่นายจะทำต่อไปนี้ว่า “ถังทดลองไร้สติ
            ดาร์วิน: ถังทดลองไร้สติ เหรอเพื่อน???
          สหาย: ถังทดลองนี้นายสามารถจะใส่อะไรหรือจะกำหนดสิ่งแวดล้อมลงไปในถังทดลองแบบไหนก็ได้ ตามที่นายต้องการ
            ดาร์วิน (คิดอย่างบ้าคลั่ง) : ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ฉันคิดว่าการกำหนดสิ่งแวดล้อมภายในถังทดลอง ต้องให้เหมือนสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งมันจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงของทฤษฎีนี้!!!
            สหาย: ฉันขอบอกนายเป็นครั้งสุดท้าย ถังทดลองนายไม่สามารถเกิดสิ่งมีชีวิตจากสิ่งไม่มีชีวิตได้เอง นายต้องผิดหวังกับมันแน่นอน!!!
          หลังจากการสนทนาแล้ว ดาร์วินได้พิจารณาสิ่งแวดล้อมที่จะใส่ลงไปในถังทดลองและเตรียมวัตถุดิบสำหรับการกำเนิดสิ่งมีชีวิต อันดับแรกก่อนการทดลอง ดาร์วินต้องไปเลือกซื้อถังทดลองที่ร้านค้าก่อน
            ดาร์วิน : ผมขอซื้อถังใบนี้ครับ
            จากนั้นเขาก็คิดซื้อ ธาตุ4 ต่างๆที่เป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต
            ดาร์วิน (กำลังเลือกหาธาตุ): อืม! นี้ธาตุคาร์บอน ว้าว!นี้ธาตุฟอสฟอรัส และนี้ธาตุแมกนีเซียม
            ก่อนเริ่มการทดลอง ดาร์วินสั่งผู้ช่วยตรวจสอบวัตถุดิบเป็นครั้งสุดท้าย
            ดาร์วิน : ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะ อุณหภูมิและความชื้นเตรียมมาถูกต้องแล้ว
            ขั้นตอนแรก ดาร์วินใส่ธาตุต่างๆจำนวนหนึ่งลงไปในถังทดลอง
            ดาร์วิน: น่าจะใส่โลหะเหล็กลงไปอีกนิดหนึ่ง
            ดาร์วินคิดว่าความร้อนจากแสงอาทิตย์ในธรรมชาติเป็นตัวกลางที่จะทำให้ธาตุต่างๆเกิดการรวมตัวกันได้ เขาจึงสั่งผู้ช่วยให้ความร้อนแก่ถังทดลองเพื่อจำลองเป็นพลังงานแสงอาทิตย์
            ดาร์วิน: ระวังอย่าให้มันร้อนเกินไป
            ดาร์วินไม่ลืมนำถังทดลองไปวางไว้ในบริเวณพายุที่กำลังจะเกิดฟ้าแลบ
            ดาร์วิน (มองท้องฟ้าอย่างกังวล): ถึงยังไงฉันก็จะรอฟ้าแลบ ไม่ว่ามันจะต้องรอนานก็ตาม
          ดาร์วินกำลังคำนวณความแรงของแผ่นดินไหว (ที่เขาคิดว่า โลกสมัยก่อนเกิดแผ่นดินไหวในช่วงที่สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมา) และเขากับผู้ช่วยออกแรงเขย่าถังทดลอง
            ดาร์วิน: อย่าเขย่าแรงไป เดี๋ยวสารจะหกหมด!!!
            ผู้ช่วย (บ่นในใจ): ทดลองบ้าอะไร ของเขาเนี่ย!!!
            แล้วดาร์วินก็เปลี่ยนจากการเขย่าเป็นการกวนสารไปเรื่อยๆๆ
            ดาร์วิน : ฮาฮา ประเดี๋ยว เซลล์ชนิดแรกก็จะเกิดขึ้นแล้ว!!!
            ผู้ช่วย (บ่นในใจอีกแล้ว) : จะเกิดจริงหรือ? จะบ้ากันใหญ่แล้วนายเรา
          ดาร์วิน: ดูนี่อะไร ฉันใช้ทัพพีกวนมันได้
            ผู้ช่วย (บ่นในใจเป็นครั้งที่สาม): แล้วที่ฉันทำนี่ มันคืออะไรละนาย
            หลังจากที่พวกเขาเตรียมการทดลองตามขั้นตอนที่คิดไว้อย่างดีแล้ว ดาร์วินจึงเริ่มตรวจสอบสารผสมที่เกิดขึ้นถังทดลอง
            ดาร์วิน : ออกไปหน่อยซิ ฉันจะดูว่า สารผสมของฉันมันเกิดขึ้นหรือยัง
            ผู้ช่วย : ออกห่าง (อันที่จริงจะหนีให้ไกลๆจากตานี่มานานแล้ว)
            ดาร์วินดูดสารละลายผสมลงไปในหลอดทดลองเล็กน้อย แล้วนำสารละลายนั้นไปส่องด้วยกล่องจุลทรรศน์อย่างง่าย (primitive microscope)
            ดาร์วิน : ลองทายดูซิ จะมองเห็นเซลล์กี่ตัวในนี่เอ๋ย?
            และดาร์วินเกิดอาการช็อก เมื่อผลการทดสอบไม่เป็นไปตามการคาดการณ์!!!
            ดาร์วิน: เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?
            ผู้ช่วย: อะไรหรือครับนาย?
            ดาร์วิน : ดูซิ ฉันไม่อยากเชื่อเลย มันต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน!!!
            ดาร์วิน (สีหน้าวิตก): ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
            ดาร์วิน: ฉันไม่รู้ว่ามันผิดตรงไหน เอ้าเหอะ เราต้องเริ่มทำการทดลองใหม่
            ทั้งๆที่เขารับรู้ความจริงทั้งหมด แทนที่จะยอมรับว่า สิ่งมีชีวิตไม่สามารถเกิดจากสิ่งไม่มีชีวิตได้ แต่เขาอย่างดื้อด้านทำการทดลองซ้ำใหม่
            ดาร์วิน : มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดผลแบบนี้ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันผิดพลาดตรงไหน หรือฉันเติมแก็สไนโตรเจนน้อยไป หรือว่าจำนวนแก็สออกซิเจนมากเกินพอดี เนี่ย!!!
            และแล้วการทดลองได้เกิดขึ้นใหม่หมด...
            ดาร์วิน: ตอนนี้ เราน่าจะน่าผสมสารให้เร็วขึ้น (พลางสั่งผู้ช่วยว่า) ลดถังทดลองอุณหภูมิลงหน่อย
            จากนั้นผู้ช่วยจึงลดอุณหภูมิถังทดลองลง
            ดาร์วิน: เราต้องเขย่าถังทดลองใหม่ ไปเรียกคนอื่นอีกมาช่วยที
            ผู้ช่วยคนอื่นตามมาเขย่าถังทดลองเพิ่ม
            ดาร์วิน: เขย่า เขย่าอีก เขย่าอีกแรงๆ
            การทดลองในลักษณะได้ต่อเนื่องอีกหลายปี... แต่ผลการพิสูจน์ความจริงของทฤษฎีล้มเหลวเช่นเคย
            ดาร์วิน: ฉันคิดว่าเราต้องเพิ่มจำนวนฟ้าแลบมากกว่านี้
            การทดลองผ่านไปชั่วขณะ และแล้วดาร์วินเริ่มนำสารละลายไปทดสอบอีกครั้ง แต่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนเดิม!!!
          ดาร์วิน: มันไม่ทำงาน มันไม่ทำงานโว้ย!!!
            ผู้ช่วย: นายครับ ผมว่าเลิกดีกว่าครับ ผมเบื่อกับมันเต็มทีแล้ว
            ดาร์วิน: มานี่ก่อน อย่าเพิ่งไป ฉันคิดว่า หลังจากนี้ มันน่าจะเกิดแล้ว
            เวลาผ่านปีต่อปี การทดลองของเขายังไม่สำเร็จเสียที
            ดาร์วิน: หลังจากนี้ฉันจะทำยังไงต่อ ฉันหมดปัญญาเต็มทนแล้ว!!!
            ดาร์วิน: ฉันทำทุกอย่างแล้ว แต่ก็มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่เซลล์เดียว ฉันพยายามทุกวิถีทางแล้ว พยายามทุกวิธีการแล้ว แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า
            ดาร์วิน : หรือว่าฉันจะปล่อยหอยทากซักตัวลงในถังทดลองนี้ แล้วไปบอกคนอื่นว่ามันเกิดขึ้นจริง? อืม! แต่ไม่ดี เดี๋ยวต้องมีใครคนใดคนหนึ่งรู้แน่
            หลังจากนั้นไม่นาน ดาร์วินและเพื่อนของเขามาอภิปรายผลการทดลองอีกครั้งหนึ่ง
            สหาย: ว่ายังไงนะ ชาลส์? นายว่าการทดลองของนายล้มเหลวใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้น นายก็ควรเปลี่ยนความคิดนี้เสีย
          ดาร์วิน : ไม่ฉันจะไม่เปลี่ยนความคิด ฉันก็จะเชื่อความคิดอย่างนี้ตลอดไป
            สหาย: นายคิดผิดพลาดอย่างมหันต์ สิ่งมีชีวิตต้องเกิดผู้สร้างโดยเฉพาะ มันไม่มีวันเกิดขึ้นได้เองโดยเด็ดขาด
            ดาร์วิน: แต่ถึงยังไงฉันก็คิดว่า มันสามารถเกิดขึ้นได้เอง รอดูแล้วกัน
            ดาร์วินและเพื่อนของเขาได้แยกทางกัน ไม่กี่ปีให้หลัง ดาร์วินก็เสียชีวิตไป
            ต้นศตวรรษที่20 โลกวิทยาการเจริญรุดหน้า พัฒนาการของเครื่องมือวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้เกิดขึ้น และแล้วก็เปิดฉากการเปิดโปงทฤษฎีวิวัฒนาการ
            ปีค.ศ.1900 ศาสตร์ทางพันธุศาสตร์ได้กำเนิดขึ้น ทำให้โครงสร้างของยีน4 (gene) และโครโมโซม5 (Chromosome) มีความชัดเจนขึ้น
            ปีค.ศ.1955 เจมส์ วัตสัน (James Watson) และฟรานซิส คริกค์ (Francis Crick) ได้แสดงโครงสร้างของดีเอ็นเอโมเลกุล เพื่อให้หนูเข้าใจดีเอ็นเอโมเลกุล ครูขออธิบายอย่างย่อๆนะครับ
            นิวเคลียส6 ที่เป็นอยู่ในเซลล์ร่างกายของหนูๆนั้น จะมีดีเอ็นเอ7เป็นองค์ประกอบอยู่ ในดีเอ็นเอนี้ ถูกบรรจุข้อมูลเกี่ยวทุกส่วนของร่างกายเลยก็ว่าได้ เช่นข้อมูลการแสดงสีและลักษณะเฉพาะของเส้นผมและดวงตา, ข้อมูลเกี่ยวกับอวัยวะภายในร่างกายทั้งหมด, ข้อมูลแสดงรูปลักษณ์ภายนอกทั้งหน้าตา ความสูง บุคลิกภาพ เป็นต้น ข้อมูลทั้งหมดนี้ถูกบันทึกไว้เฉพาะแต่ละบุคคลเท่านั้น ครูจะเปรียบเทียบให้หนูๆเห็นจำนวนข้อมูลทั้งหมดที่ถูกบรรจุในดี-เอ็นเอตัวเดียว เท่ากับจำนวนหนังสือที่มีความหนา500หน้า จำนวน900เล่ม ซึ่งมีจำนวนมากมายเทียบเท่ากับคลังหนังสือในบ้านที่ถูกจัดเรียงไว้หนึ่งสนามฟุตบอล เห็นไหมครับว่ามันสามารถบรรจุข้อมูลได้มากแค่ไหน แล้วหนูๆล่ะสามารถจำข้อมูลทั้งหมดนั้นได้หรือเปล่าครับ?   ความมหัศจรรย์ในการบรรจุข้อมูลของดีเอ็นเอเป็นหลักฐานยืนยันว่ามันไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นเองได้        และนี่เป็นพยานสำคัญถึงการมีอยู่จริงของพระเจ้า ผู้อเนกสรรทุกอย่างเพียงผู้เดียว
            ดังที่ครูได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆที่ได้เกิดขึ้นในสมัยก่อนๆ แก่หนูๆแล้วว่า มีนักวิทยาศาสตร์หลายๆท่านได้เปิดโปงถึงการโกหกของทฤษฎีวิวัฒนาการอย่างมากมาย แต่แล้ว พวกนักวิวัฒนาการกลับดื้อด้านและไม่ยอมรับความจริงดังกล่าว พวกเขายังคงงมงายกับความเชื่อในเรื่องการกำเนิดสิ่งมีชีวิตตามการคาดเดาของนายดาร์วินอยู่ และเขากลับสร้างเรื่องโกหกต่างๆนาๆ เช่น มนุษย์เกิดจากบรรพบุรุษที่เป็นลิง หรือปลาเกิดจากกบ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์ เพราะพวกเขาไม่สามารถนำหลักฐานมายืนยันตามกระบวนการวิทยาศาสตร์ได้ ตลอดจนพวกเขาไม่ยอมรับการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า ผู้สร้างทุกสรรพสิ่งแต่เพียงพระองค์เดียว
            เห็นไหมครับหนูๆพวกเขาร้ายกาจแค่ไหน
            ถึงแม้ดาร์วินจะประสบความล้มเหลวจากถังทดลองไร้สติ มาร้อยๆครั้ง แต่ก็ยังมีนักวิทยาศาสตร์ผู้โง่เง้าปัจจุบัน  ยังคงยึดถือคำพยากรณ์ลมๆแล้งๆของดาร์วินอย่างมากมาย
            ต่อไปนี้ครูจะพาหนูๆ ไปฟังคำสนทนาของบรรดานักวิทยาศาสตร์บางกลุ่ม ซึ่งมีสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่คลั่งไคล้ทฤษฎีวิวัฒนาการ ส่วนอีกฝ่ายต่อต้านทฤษฎีนี้อย่างชัดเจน
            นักวิทยาศาสตร์คนที่1: น่าสงสารดาร์วินนะเพื่อน ที่ไม่สามารถพิสูจน์ทฤษฎีของตัวเองได้ เนื่องจากเครื่องไม้เครื่องมือในสมัยนั้นไม่เอื้ออำนวยพอ เขาคงทำได้ดีที่สุดแล้วล่ะ
          นักวิทยาศาสตร์คนที่2: ใช่ ฉันว่าน่าจะพิสูจน์อีกครั้งหนึ่งดีไหมล่ะ ฉันเชื่อเหลือเกินว่าสิ่งมีชีวิตต้องเกิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญแน่นอน!!!
          นักวิทยาศาสตร์คนที่3: ฉันไม่เชื่ออย่างนั้น ยังไงสิ่งมีชีวิตไม่สามารถเกิดขึ้นมาจากถังไร้สติแบบนั้นหรอก
          นักวิทยาศาสตร์คนที่1: พวกเธอรู้หรือเปล่าล่ะ! ตอนนี้ห้องทดลองของเรา เต็มไปด้วยเครื่องมือทันสมัยเพียบพร้อมหลายอย่าง และเราได้ทราบรายละเอียดภายในเซลล์จากเครื่องมือที่ประดิษฐ์โดยพวกเราแล้ว ไม่แน่นะว่า มนุษย์เราสามารถประดิษฐ์สิ่งมีชีวิตขึ้นเองก็อาจจะเป็นได้
          นักวิทยาศาสตร์คนที่2: ลองซิ! เรามาทดลองกันใหม่ เดี่ยวนี้เลย
          นักวิทยาศาสตร์คนที่3: พวกนายอยู่ในหมู่ผู้หลงผิดแล้ว! พวกนายก็รู้ว่า คนอีกตั้งมากมายที่คิดแบบเดียวกับพวกนาย ต่างรอคำตอบจากดาร์วินมาเป็นร้อยๆปี ผลสุดท้าย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แล้วดาร์วินก็ตกอยู่ในอาการเศร้าอย่างนั้นเป็นเวลานานแสนนาน
          นักวิทยาศาสตร์คนที่1: แล้วทำไมเราไม่ลองทดลองใหม่ล่ะ? มันอาจจะสำเร็จขึ้นมาก็ได้
          นักวิทยาศาสตร์คนที่2: ใช่ใช่! แล้วเราจะได้เห็นความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น!!! ฮาๆฮาๆ
          นักวิทยาศาสตร์คนที่3: มันไม่เกิดขึ้นแน่ ถึงแม้พวกนายจะรอมันเป็นพันๆล้านปี มันไม่มีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นอย่างแน่นอน พวกนายไม่รู้หรอกว่าธาตุที่อยู่ในสิ่งมีชีวิตนั้นมีจำนวนมากน้อยเท่าไร เว้นแต่ผู้ที่สร้างมันและให้ชีวิตแก่มันเท่านั้นที่รู้
          หลังจากเหตุการณ์สนทนาดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์ทั้งสามก็ได้ทำการตัดสินใจ
            นักวิทยาศาสตร์คนที่3: ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ไหม! ความจริงพวกเราทราบข้อมูลต่างๆมากกว่าดาร์วินด้วยซ้ำ ถ้าอย่างนั้นพวกนายทำการทดลองเพื่อพิสูจน์คำกล่าวอ้างของนายเลยซิ บางทีเราก็รอคำตอบจากนายเหมือนกัน และอาจเป็นวิธีการเดียวที่นายจะยอมรับข้อเท็จจริงก็ได้
            นักวิทยาศาสตร์คนที่1: โอเค! ได้! เดี่ยวจัดให้เพื่อน
            นักวิทยาศาสตร์คนที่2: ถ้าอย่างนั้นก็เริ่ม ณ ตอนนี้เลย!!!
            และแล้วพวกเขาก็ได้ทำการทดลองคล้ายๆกับดาร์วินใหม่อีกครั้งหนึ่ง...
            นักวิทยาศาสตร์คนที่1: ดูนี่ซิ! ฉันเตรียมของผสมแก็สซึ่งคิดว่ามันน่าจะเหมือนกับแก็สที่อยู่ในชั้นบรรยากาศโลกในยุคแรก
            นักวิทยาศาสตร์คนที่2: ส่วนฉันได้เตรียมแหล่งถ่ายโอนกระแสไฟฟ้าไว้แล้ว
            นักวิทยาศาสตร์คนที่1: เราต้องต้มของผสมแก็สที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส ตั้งไว้หนึ่งสัปดาห์
            นักวิทยาศาสตร์คนที่2:  และฉัน ก็จะทำการถ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังของผสมแก็ส เพื่อมันจะทำงานได้ดีขึ้น
            หนูๆ ลองทายว่า เมื่อกระแสไฟฟ้าถูกถ่ายไปยังของผสมแก็สอย่างต่อเนื่อง มันจะเกิดอะไรขึ้น?
          นักวิทยาศาสตร์คนที่1: เย้เย้!! ครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว นั้นเราลองตักสารมาใส่ในหลอดทดลองดู
            นักวิทยาศาสตร์คนที่2: แต่เอ้! ในธรรมชาติมันไม่มีหลอดทดลองเลยนิ!!!...
            นักวิทยาศาสตร์คนที่1: เออน้า!!! มันแค่เป็นกลอุบาย เล็กๆน้อยๆ อย่าไปคิดมากเลยเพื่อน
            นักวิทยาศาสตร์คนที่2: อืม! จริงด้วย นายโกหกเพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง (ที่จริงพวกเราทำมากกว่านั้นอีกตั้งเยอะ)  งั้น เราลองมาลุ้นผลการทดลองดีที่สุด
            ทันใดนั้น นักวิทยาศาสตร์เบาปัญญาสองคนเกิดประหลาดใจ เมื่อผลการตรวจสอบสารผสม ปรากฏว่า ไม่มีเซลล์ซักตัวเกิดขึ้น
            นักวิทยาศาสตร์คนที่1: เฮ้! ฉันไม่เชื่อ!! ฉันรับไม่ได้!!! สงสัยมันยังทำงานไม่สมบูรณ์อีก!!!
            นักวิทยาศาสตร์คนที่2: เราก็ทำทุกอย่างถูกต้องแล้วนะ แล้วทำไมมันยังไม่ทำงานอีกล่ะ?
            นักวิทยาศาสตร์คนที่1: เราใส่ทุกอย่างแล้วและทำทุกขั้นตอนแล้วด้วย ทำไมเซลล์แค่ตัวเดียวมันยังไม่เกิดเลย?
            นักวิทยาศาสตร์คนที่2: โอโอ ใจเย็นๆ เย็นๆ เย็นๆ
            และมันก็เป็นจริงตามที่เราคาดคิดไว้ไม่มีผิด คล้ายกับว่า หนังดาร์วินกลับมาฉายซ้ำ และความฝันของนักวิทยาศาสตร์ทั้งสองถึงคราวอวสาน
นักวิทยาศาสตร์คนที่3: เห็นไหม? ไม่มีสิ่งไม่มีชีวิตไหนหรอก สามารถปลุกเสกตัวเองให้กลายเป็นสิ่งอื่นได้ ฉันเชื่อว่าทั้งหมดนั้นเป็นความกลอุบายของบรรดาผู้ปฏิเสธพระเจ้าเพื่อชวนเชื่อคนอื่นๆเท่านั้นเอง
นักวิทยาศาสตร์คนที่1 (ตอบอย่างดื้อรั้น): คอยดูศตวรรษที่ 21 แล้วกัน ทฤษฎีวิวัฒนาการจะกลายมาเป็นความจริงให้ได้
นักวิทยาศาสตร์คนที่2: ถึงแม้คราวนี้จะล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ครั้งหน้าคอยดู!!!
นักวิทยาศาสตร์คนที่3: สุภาพบุรุษผู้คงแก่ปัญญาเอ๋ย! ท่านก็ทราบดีอยู่แล้วว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการหาสัจธรรมได้ยากเหลือเกิน แต่ท่านยังคงหัวหนวกตาบอดอยู่ตลอด ทั้งๆที่ท่านสามารถกำหนดสถานการณ์ต่างๆตามที่ท่านคิดว่า ท่านสามารถทำการกำเนิดเซลล์สิ่งมีชีวิตแค่เซลล์เดียวเท่านั้นได้ และท่านก็ทำตามขั้นตอนอย่างพิถีพิถันไปหมดแล้ว ผลสุดท้ายท่านก็พบแต่ความล้มเหลว
นักวิทยาศาสตร์คนที่1: อืม! ใช่ แล้วอะไรล่ะ ที่วัดความล้มเหลวของพวกเรา?
นักวิทยาศาสตร์คนที่3: ก็ฉันบอกแล้วไง พวกท่านสามารถทำการทดลองได้ทุกอย่าง พวกท่านสามารถคิดวางแผนการทดลองได้อย่างรัดกุม พวกท่านสามารถคำนวณปริมาณความถี่การสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว, ความถี่ของฟ้าแลบ, ปริมาณธาตุต่างๆ ฯลฯ ที่ท่านคิดว่าเหมือนในยุคแรกเริ่มของการเกิดสิ่งมีชีวิตบนโลกแล้ว แล้วอย่างไรล่ะ! ท่านและเราก็ไม่สามารถเห็นสิ่งมีชีวิตซักตัวออกมาจากถังทดลองของท่านหรือของดาร์วิน (เจ้าของต้นตำรับ)เลย ฉันบอกกี่ครั้งกี่หนแล้ว! สิ่งไม่มีชีวิตไม่มีสมอง ไม่สามารถคิดรวมตัวกัน แล้วกลายเป็นบางสิ่งบางอย่างด้วยตัวมันเองได้ ไม่ว่าพวกท่านจะรอไปกี่พันล้านปี หรือท่านจะส่งต่อการทดลองให้คนรุ่นหลังไปกี่หมื่นล้านรุ่น คำตอบก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง!!!
เห็นไหมครับหนูๆ ความดื้อรั้นของกลุ่มบางกลุ่ม ถึงแม้จะบอกความจริงมากแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงตาบอดอยู่เรื่อยไป!!!
ปัจจุบันยังคงมีบรรดานักวิวัฒนาการ ที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงความคิดเดิมของเขา พวกเขายังรอความหวังจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจากถังทดลองไร้สติไปอีกนานแสนนาน
ลองมาดูบทสนทนาของนักวิวัฒนาการสองคนนี้ดูครับ
นักวิวัฒนาการคนที่1: มันเกิดขึ้นได้อย่างไรเนี่ย? ทำไมสิ่งมีชีวิตไม่เกิดขึ้นบางเลย? เราพยายามทำหมดทุกทางแล้ว
นักวิวัฒนาการคนที่2: แต่ยังมีอีกทางหนึ่ง คือยอมรับว่าพวกมันต้องเกิดจากผู้สร้าง? ซึ่งผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนมาอย่างนั้นด้วย
นักวิวัฒนาการคนที่1: ไม่มีทางที่เราจะยอมรับในพระเจ้าเด็ดขาด ถึงแม้เราจะไม่มีทางเลือกก็ตาม ถึงยังไงเราก็จะหลอกลวงผู้คน แบบนี้ไปจนวันตาย
เฮ้อ! ดูซิครับหนูๆ ความบ้าคลั่งของนักวิวัฒนาการเขา อย่าไปเอานิสัยอย่างนี้เลยครับ
ต่อไปนี้ครู จะให้หนูๆรู้จักเพื่อนคนหนึ่งนะครับ เขาพร้อมจะรู้จักหนูแล้ว...
สวัสดี!!! ฉันชื่อเซลล์ ฉันมีเพื่อนเยอะแยะเลย อืม! มีทั้งหมดประมาณ 100 ล้านล้านคนเลย เห็นไหม เยอะเลยทีเดียว เพื่อนของฉันเนี่ย มีหน้าที่ต่างๆหลายอย่าง เขาเหล่านั้นทำงานให้เธอนะ เธอทราบหรือเปล่า บางคนรวมตัวกันกลายเป็นร่างกายเธอ เราจับตัวกันตั้งแต่เธอยังอยู่ในท้องแม่เธอเลยพวกเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอไม่ว่าเธอจะทำอะไร ไปที่ไหน พวกเราก็จะตามไปด้วยเสมอตลอดชีวิตเธอเลยก็ว่าได้ พวกเราทำงานตลอดเวลาไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าเธอจะหายใจ, เดินเล่น, กินขนม, ขับถ่าย, มองเห็นและรู้สึก ในกลุ่มของเรามีการทำงานเป็นระบบ โดยที่แต่ละหน่วยจะมีพลังงานจำนวนหนึ่งสำหรับใช้ในกระบวนการผลิต, กระบวนการขนส่งจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งในร่างกายของเธอ, หน่วยท่อประปา, หน่วยจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตัวเธอทั้งหมดและห้องสมุดประจำกลุ่มด้วย
พวกเรายังได้เตรียมและจัดเก็บกองคลังโปรตีน (เพื่อใช้เป็นเสบียง)ไว้จำนวนมาก เธอไม่ต้องสงสัยเลยว่า โปรตีนมันมาจากไหน มันไม่สามารถเกิดขึ้นโดยบังเอิญได้เองหรอก เธอก็รู้นี่ว่า โรงงานใหญ่ๆหลายแห่งในร่างกายของเธอ, ธนาคารข้อมูล, ห้องสมุดที่มีจำนวนหนังสือมากที่สุดในโลก, ศูนย์กลางพลังงานและระบบขนส่งที่ทันสมัยนี่มันเกิดขึ้นได้เองหรือ? มันต้องมีผู้สร้างอย่างแน่นอน
ต่อไปนี้ เรามาดูคำเปิดโปงของนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังเกี่ยวกับความเป็นไปไม่ได้ของทฤษฎีวิวัฒนาการ
“ โอกาสที่สิ่งมีชีวิตสามารถเกิดขึ้นได้เองเปรียบเทียบได้กับโอกาสที่พายุทอร์นาโดถล่มสนามหญ้ากว้างๆแล้วนำวัสดุที่ถูกพัดมาเป็นเครื่องบินโบอิ้ง747ยังไงอย่างงั้น” – เซอร์ ฮอยล์ (Sir Hoys)
และ
“เซลล์ที่ง่ายที่สุดมีกลไกที่ซับซ้อนมากกว่าเครื่องจักรปัจจุบันที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นหลายเท่า”- วี.เอ็ช โทป (W.H Thorpe)
ถึงตอนนี้ หนูๆลองมองดูอวัยวะร่างกายของหนูดูซิครับ ดูสังเกตเห็นไหม อวัยวะทุกส่วนของร่างกายต่างมีลักษณะที่สวยงามประณีตยิ่งนัก หนูลองคิดดูซิ! พวกมันสามารถเกิดขึ้นได้เองหรือเปล่า ทั้งๆที่มันมีธาตุเป็นองค์ประกอบเฉพาะ และมันมีความมหัศจรรย์ในอีกหลายประการ
ครูขอถามหนูว่า “โทรทัศน์ที่บ้านหนู มันเกิดขึ้นเองหรือต้องมีผู้สร้างมันขึ้นมา?”
คำตอบที่หนูจะตอบก็คือ มันต้องมีผู้สร้าง เป็นไปไม่ได้หรอกที่หน้าจอ สายไฟฟ้า แผงวงจร อยู่ดีๆจะคิดรวมตัวกันเป็นโทรทัศน์ได้เอง
ครูถามต่อไปว่า “หนูจะถามข้อมูลเกี่ยวกับโทรทัศน์นี้ จากที่ไหนได้ดีที่สุด?”
แน่นอนหนูก็จะตอบไปว่า ก็ถามจากผู้ที่สร้างมันหรือจากคู่มือที่ผู้สร้างได้เขียนไว้ ชัดเจนที่สุด
แล้วนับประสาอะไรกับสิ่งมีชีวิตอีกหลายๆล้านชนิด บนโลกนี้ พวกมันต้องมีผู้สร้างอย่างแน่นอน ผู้สร้างที่มีความสามารถสูงสุด หาที่เปรียบไม่ได้ และพระองค์ได้บอกรายละเอียดในเรื่องดังกล่าว และเรื่องต่างๆอีกมากมาย ผ่านทางคู่มือแนะนำของท่านที่มีชื่อว่า “อัลกุรอาน”
หนูๆลองอ่านคู่มือเล่มนี้ดู หรือไม่ก็ให้พ่อ แม่ หรือครูของหนูๆสอนให้ก็ได้ครับ...
เป็นไงบ้างครับ รับรู้อรรถรสมาตั้งแต่ตะลุยด่านแรกแล้ว ตอนนี้เราเดินทางสิ้นสุดด่านที่สอง ครูหวังว่าหนูๆคงกระจ่างกันอีกหลายเรื่องนะครับ
อย่าลืมเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆคนอื่นๆได้ทราบกันด้วยนะครับ...
บทสรุปการเดินทาง

ในหนังสือเล่มนี้ หนูๆจะได้พบกับ หลักฐานยืนยันการสร้างทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า จากความไม่มีอะไรเลย กลายมาเป็นเซลล์เล็กๆที่อยู่ในมดลูกของมารดาหนูๆ พระองค์ทรงอเนกสรรทุกอย่างไม่ว่าสิ่งนั้นจะเล็กเพียงไหน หรือจะใหญ่กว่าชั้นฟ้า หรือสิ่งที่มองเห็นหรือมองไม่เห็น แล้วทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยฝีมืออันประณีตหาที่ติไม่ได้
เรื่องราวของหนุ่มน้อยจอมอหังการ ที่อาจหาญเสนอความคิดเกี่ยวกับการกำเนิดสิ่งมีชีวิตจากสิ่งไม่มีชีวิตได้ อย่าลืมซิว่า! สิ่งมีชีวิตทุกชนิดเกิดขึ้นมาบนโลกภายใต้ลักษณะที่สมบูรณ์แบบทันทีทันใด พ่อแม่ของหนูเกิดขึ้นมาสมบูรณ์ทันที เฉกเช่นพ่อแม่ของครูหรือพ่อแม่คนอื่นๆ และเรามีลักษณะเหมือนกันกับบรรพบุรุษของเราตั้งแต่แรก คือ อดัม (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ทั้งหมดนั้นเป็นความปรีชาญาณของพระเจ้าผู้สร้างอดัม มนุษย์คนแรกแต่เพียงผู้เดียว และเราก็ไม่พบหลักฐานอันใดที่ชี้ชัดถึงการเกิดสิ่งมีชีวิตจากสิ่งไม่มีชีวิตเลย แต่แล้วผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กลับตอบย้ำความมดเท็จของทฤษฎีวิวัฒนาการ อีกทั้งยังรับประกันความจริงในการสร้างของพระเจ้าผู้เกรียงไกร ถึงอย่างนั้นก็ตามดาร์วินกลับปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างแข็งขัน เขายังคงดำเนินการโกหกชาวโลกอีกต่อไป ภายใต้ความเชื่อที่หาหลักแหล่งไม่ได้ อย่างทฤษฎีวิวัฒนาการ
หนูๆอย่าลืมเด็ดขาดนะว่า ไม่ว่าหนูจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าหนูจะทำอะไร อย่าลืมพระเจ้าของเราเด็ดขาด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดำเนินภายใต้ความรู้ของพระองค์ทั้งหมด พระองค์ทรงชอบให้เราศึกษาอัลกุรอานและปฏิบัติตามสิ่งที่ปรากฏในนั้นอย่างมาก ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสัญญาณถึงความปรีชาญาณและความเมตตาของพระองค์ ดังนั้นเรามาขอบคุณพระองค์และปฏิบัติตามพระองค์ดั่งที่พระองค์ให้ความรัก ความเมตตากับเราอย่างล้นพ้น

พวกเขา(บรรดาเทวทูต) ทูลว่ามหาบริสุทธิ์พระองค์ท่านไม่มีความรู้ใดๆแก่พวกข้าพระองค์ นอกจากสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสอนข้าพระองค์เท่านั้น แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ” (อัลกุรอาน, บทอัลบากอเราะฮฺ, โองการ 32)
1.      สมาชิกกลุ่มอัซซาบิกูน เว็บไซต์กลุ่ม www.อิสลาม.net , www.antirafidah.com
    2.      อะตอมคือ หน่วยย่อยที่สามารถแสดงสมบัติพื้นฐานทางเคมีได้ ซึ่งกลุ่มอะตอมสามารถรวมตัวกันภายใต้ความประสงค์ของอัลลอฮฺ กลายเป็นโมเลกุล โมเลกุลหลายๆโมเลกุลกลายเป็นสาประกอบ กลุ่มของสารประกอบกลายเป็นเซลล์ กลุ่มเซลล์กลายเป็นเนื้อเยื่อ และกลุ่มเนื้อเยื่อรวมตัวกลายเป็นอวัยวะร่างกายของสิ่งมีชีวิต ทั้งหมดนี้ภายใต้ความประสงค์ของอัลลอฮฺ พระเจ้าของเราทุกคน
3.      กฎการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม (Law of heredity) มีใจความว่ายีนแต่ละคู่ที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต จะแยกจากกันอย่างอิสระไปสู่เซลล์สืบพันธุ์ของแต่ละเซลล์
4.      โครโมโซม (Chromosome) เป็นที่อยู่ของหน่วยพันธุกรรม ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมและถ่ายทอดข้อมูล เกี่ยวกับ ลักษณะทางพันธุกรรมต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต เช่น ลักษณะของเส้นผม ลักษณะดวงตา เพศ และผิว (สารานุกรมเสรี)
5.      ยีน (gene)หรือหน่วยพันธุกรรม คือ ส่วนหนึ่งของโครโมโซม (Chromosome segment) ที่ถอดรหัส (encode) ได้เป็นสายโพลีเปปไตด์หนึ่งสายที่ทำงานได้ (single functional polypeptide) หรือได้เป็นอาร์เอ็นเอ ยีน ประกอบด้วย ส่วนที่สามารถถอดรหัสเป็นอาร์เอ็นเอได้ เรียกว่า exon และ บริเวณที่ไม่สามารถถอดรหัสได้ เรียกว่า intron (สารานุกรมเสรี)


6.      นิวเคลียส (Nucleus; พหูพจน์: Nuclei) คือออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้มพบในเซลล์ยูแคริโอต ภายในบรรจุสารพันธุกรรม (genetic material) ซึ่งจัดเรียงตัวเป็นดีเอ็นเอ (DNA) สายยาวรวมตัวกับโปรตีนหลายชนิด เช่น ฮิสโตน (histone) เป็นโครโมโซม (chromosome) ยีน (gene) ต่างๆ ภายในโครโมโซมเหล่านี้ รวมเรียกว่า นิวเคลียส จีโนม (nuclear genome) หน้าที่ของนิวเคลียสคือการคงสภาพการรวมตัวของยีนเหล่านี้และควบคุมการทำงานของเซลล์โดยการควบคุมการแสดงออกของยีน (gene expression) (สารานุกรมเสรี)
7.      ดีเอ็นเอ (DNA) เป็นชื่อย่อของสารพันธุกรรม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า กรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิก (Deoxyribonucleic acid) ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิก (กรดที่พบในใจกลางของเซลล์ทุกชนิด) ที่พบในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ได้แก่ คน, สัตว์, พืช, เชื้อรา, แบคทีเรีย, ไวรัส เป็นต้น ดีเอ็นเอบรรจุข้อมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นไว้ ซึ่งมีลักษณะที่ผสมผสานมาจากสิ่งมีชีวิตรุ่นก่อน ซึ่งก็คือ พ่อและแม่ และสามารถถ่ายทอดไปยังสิ่งมีชีวิตรุ่นถัดไป ซึ่งก็คือ ลูกหลาน (สารานุกรมเสรี)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น