50 ประการ แห่งการล่มสลายของทฤษฎีวิวัฒนาการ
อิบบินอุม อัซซาบิกูน แปลและเรียบเรียง
กว่า 150 ปีมาแล้ว ทฤษฎีวิวัฒนาการได้ถูกยอมรับอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่สถานศึกษาไปจนถึงงานเขียนทางวิชาการ คล้ายกับว่าเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ทั้งๆที่ใจความหลักของมันตั้งอยู่บนหลักการที่ไม่สามารถยอมรับได้ ข้อกล่าวอ้างของนักวิวัฒนาการนิยม (evolutionist) ตลอดระยะ 150 ปีที่ผ่านมาได้ถูกปฏิเสธด้วยวิทยาศาสตร์แทบทั้งสิ้น ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเขา ไม่ลดละความพยาม เพื่อให้ทฤษฎีนี้อยู่รอดต่อไป จึงต้องอาศัยกลเม็ดทางสื่อ โดยวิธีการประโคมข่าวโฆษณา การปลุกระดม และการหลอกลวงอย่างเปิดเผย เป้าหมายไม่ใช้หักล้างทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการสนับสนุนโลกทัศน์ของนักวัตถุนิยม (materialist) และนักปฏิเสธพระเจ้า ต่อความไร้แก่นสารในทฤษฎีวิวัฒนาการ ให้ดำรงอยู่บนหน้าแผ่นดินนี้ต่อไป
หนังสือที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ได้ทำการโต้ทฤษฎีวิวัฒนาการด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยมีการยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม และท่านคุ้นเคยเป็นอย่างดี ท่านจะได้รับรู้ว่า ทำไมสิ่งมีชีวิตต่างๆไม่สามารถเกิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญ โดยหลุดกรอบอำนาจของพระเจ้าได้ ความรู้ที่เรามาเสนอในครั้งนี้ เป็นการพอเพียงที่ท่านจะปฏิเสธข้อกล่าวอ้าง และพร้อมใช้ตรรกะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นเหตุเป็นผลมาโต้เถียงกับนักวิวัฒนาการนิยมได้เสียที
1. ทฤษฎีวิวัฒนาการนับถือ “ความบังเอิญ” เป็นเทพผู้สรรค์สร้าง
ทฤษฎีวิวัฒนาการได้อ้างว่าอย่างไร้เหตุผลว่า อะตอมที่ไม่มีชีวิตอย่างเช่น ฟอสฟอรัสอะตอมและคาร์บอนอะตอมสามารถรวมกันเป็นสารประกอบ หรือโมเลกุลต่างๆ ภายใต้สถานการณ์ “บังเอิญ” ซึ่งมันเกิดจากผลพวงของแสงเสียง,การปะทุของภูเขาไฟ,รังสีอัลตราไวโอเลตจากกระบวนธรรมชาติในอัตราที่พอเหมาะ และมันยังสามารถจัดระบบตัวมันเองให้เกิดเป็นสายโซ่โปรตีน,เซลล์ หรือแม้กระทั่งเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างปลา,กระต่าย,เต่า,นก,สิงโต,มนุษย์ ตลอดจนทุกสรรพสิ่งด้วยตัวมันเองอย่างประหลาดพิลึก
และนี่คือคำกล่าวอ้างพื้นฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการนิยม ที่นับถือ“ความบังเอิญ” เสมือนดั่ง เทพผู้สร้างสรรค์ทุกสรรพสิ่ง โดยปราศจากตรรกะ บนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สมเหตุสมผลมารองรับ
2. กระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural Selection) ไม่สามารถอธิบายโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่มีความซับซ้อนได้
ทฤษฎีวิวัฒนาการได้เสนอถึง สิ่งมีชีวิต (living organisms) สามารถปรับแปลงโครงสร้างตัวเอง เพื่อให้มันสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป ภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมอย่างน่ามหัศจรรย์ จนกระทั่งสามารถถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม จากรุ่นหนึ่ง สู่รุ่นต่อไปได้ และสามารถเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ จากสายโซ่ของ “กลไก” ดังกล่าวได้
กลไกลักษณะดังกล่าว มักจะรู้จักในชื่อ “การคัดเลือกทางธรรมชาติ” (Natural selection) ข้ออ้างนี้ไม่สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง เกิดมีรูปลักษณ์ใหม่ได้ แต่มันเป็นเพียงแค่การปรับเปลี่ยนคุณลักษณะบางประการที่มีอยู่เดิมให้เด่นขึ้น แข็งแรงขึ้น เฉพาะสายพันธุ์เท่านั้น
ตัวอย่างเช่น ฝูงกระต่ายชนิดหนึ่ง สามารถอยู่รอดได้ ในสถานที่หนึ่งๆ จะต้องวิ่งเร็วเท่านั้น เมื่อพวกมันตายลง กระต่ายรุ่นใหม่ ก็ต้องวิ่งเร็ว ตามสภาพท้องที่นั้นๆด้วย อย่างๆไรก็ตาม ไม่เคยมีประวัติว่า กระตายสามารถแปลงร่างกลายเป็นสุนัขเกรย์ฮาวนด์ (greyhounds) หรือสุนัขจิ้งจอก ได้แต่อย่างใด
3. ผีเสื้อกลางฝุ่นกลางคืนพริกไทย (Peppered Moths) ไม่มีหลักฐานการเกิดวิวัฒนาการ ผ่านกระบวนการคัดเลือกทางธรรมชาติ
ทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ครั้งใหญ่ ของผีเสื้อกลางฝุ่นกลางคืนพริกไทย (Peppered Moths) จากมลพิษทางอากาศในช่วงศตวรรษที่ 19 ของการปฏิวัติอุตสากรรมในสหราชอาณาจักร ทำให้เปลือกไม้ในบริเวณนั้นคล้ำขึ้น ส่งผลดีต่อการอำพรางตัวของผีเสื้อกลางฝุ่นกลางคืนพริกไทยจากการล่าของนก ด้วยเหตุนี้ทำให้ปริมาณของพวกมันสูงขึ้นเป็นทวีคูณ
แต่นั้นไม่ใช่เครื่องยืนยันถึงการเกิดวิวัฒนาการ เพราะไม่มีการอุบัติของผีเสื้อชนิดใหม่เลย หากแต่มีการเพิ่มอัตราส่วนจำนวนของผีเสื้อกลางฝุ่นกลางคืนพริกไทยเท่านั้น ทั้งนี้ภาพที่แสดงการเกาะของผีเสื้อบนเปลือกไม้สีคล้ำ (ที่ได้เสนอ) เป็นเรื่องจินตนาการทั้งสิ้น หาได้ใช่ความจริงเลย นอกจากนี้ ตัวอย่างการเปลี่ยนเม็ดสีของเมลานินของผีเสื้อจากผลของมลภาวะทางอุตสาหกรรมเลยไม่เคยปรากฎขึ้นเลย
4. แผ่นดินไหวยังไม่สามารถปรับปรุงบ้านเมืองได้ หรือการเกิด มิวเทชัน (Mutation) สามารถยังประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิต
มิวเมชัน (Mutation) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอย่างอิสระของสายโซ่ดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นแหล่งบรรจุข้อมูลคุณลักษณะทั้งหมดของสิ่งมีชีวิต การเกิดมิวเทชัน (Mutation) นี้มีแหล่งกำเนิดจากแรงกระตุ้นของกัมมันตภาพรังสีหรือสารเคมีที่อยู่ภายนอกร่างกายของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมันไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับสิ่งมีชีวิตหรือเกิดสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ ตามคำกล่าวอ้างของนักวิวัฒนาการนิยมได้ (เช่น เกิดเป็นปีกของนก ปอดของปลา เป็นต้น) ทั้งนี้การเกิดมิวเทชันสามารถคร่าชีวิตหรือทำให้เกิดพิกลพิการต่อสิ่งมีชีวิตได้ ข้ออ้างที่ว่า การเกิดมิวเทชันสามารถปรับปรุงสายพันธุ์หรือสร้างประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิต ก็เหมือนกับการอ้างว่า การเกิดแผ่นดินไหวสามารถปรับปรุงบ้านเหมือนให้ทันสมัย หรือการนำค้อนมาทุบคอมพิวเตอร์จนแหลก สามารถทำให้เกิดระบบปฏิบัติการที่ทันสมัยและสลับซับซ้อนขึ้นได้
5. ซากฟอสซิลที่ตรวจพบไม่มีหลักฐานการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะก้ำกึ่ง (Transitional Forms)
ทฤษฎีวิวัฒนาการได้อ้างว่า การเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตจากสิ่งมีชีวิตหนึ่งเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างที่ซับซ้อนนั้น ต่าง มีจุดเริ่มต้นจากสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างง่ายๆ หมายความว่า ตั้งแต่อดีตกาลมาจนถึงปัจจุบันกาลนั้น ต้องปรากฏสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะก้ำกึ่ง (transitional forms) ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตสองสายพันธุ์ อย่างมากมาย เช่น ต้องปรากฏสิ่งมีชีวิตครึ่งปลา-ครึ่งสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ซึ่งมีลักษณะบางส่วนเหมือนปลาและบางส่วนเหมือนสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ หรือครึ่งมนุษย์-ครึ่งวานร หรือครึ่งนก-ครึ่งสัตว์เลื่อยคลาน เป็นต้น
ถ้าปรากฏสิ่งมีชีวิตลักษณะก้ำกึ่งจริง (ตามคำกล่าวอ่างของนักวิวัฒนาการนิยมแล้ว) นักบรรพชีวินต้องขุดพบซากฟอสซิลของสัตว์ดังกล่าวจำนวนมากที่อยู่ใต้พื้นพิภพ แต่ผลปรากฏว่า ตั้งอดีตจนปัจจุบัน ซากของมันยังถูกคงกลบกลืนในห้วงนิทรา ไม่มีโอกาสมาอวดโฉม ในโลกแห่งความจริงได้
6. ชีวิตต้องมาจากชีวิต
ความผิดพลาดในการอธิบายการกำเนิดของสิ่งมีชีวิต ตามทฤษฎี “spontaneous generation” มีมาตั้งแต่ยุคกลาง (Middle Ages) กล่าวคือ ความเชื่อเรื่องสิ่งมีชีวิตถูกกำเนิดจากสิ่งไม่มีชีวิตได้โดยง่าย ได้แพร่หลายมาจนถึงศตวรรษที่ 18 ตัวอย่างเช่น แมลงก่อตัวจากอาหารเน่า หรือหนูเกิดจากข้าวสาลีในถัง เป็นต้น แม้กระทั่งศตวรรษที่ 19 เมื่อชาลส์ ดาร์วินได้เขียนหนังสือ “The Origin of Species” วิทยาศาสตร์ในช่วงนั้น ยังคงเชื่อว่า แบคทีเรียเกิดจากสสารที่ไม่มีชีวิตอยู่
หลังจากหนังสือของดาร์วินได้ถูกเผยแพร่ 5 ปี มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อ หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) ได้เปิดเผยผลการวิจัย ที่สามารถหักล้างทฤษฎี “spontaneous generation” จนทำให้แนวคิดของดาร์วิน ลดความน่าเชื่อถือลง ปาสเตอร์ได้บรรยาย ณ เมือง Sorbonne ในปี ค.ศ. 1864 ไว้ว่า “จากตัวอย่างผลการทดลองนี้ ยืนยันว่า สิ่งมีชีวิตไม่สามารถเกิดจากการการระเบิดของสิ่งที่ตายได้ ” (Sidney Fox, Klaus Dose, Molecular Evolution and The Origin of Life, New York: Marcel Dekker, 1977. p. 2)
ผลจากการศึกษาของปาสเตอร์ สามารถตอบย้ำว่า สิ่งมีชีวิต(ที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อน) ไม่สามารถอุบัติมาเองบนโลกได้ แต่มันต้องมีจุดเริ่มต้นจากอำนาจการสร้างอย่างน่าอัศจรรย์
7. สิ่งมีชีวิตถูกสร้างขึ้นทันทีในช่วงเวลาเดียวกัน
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้ถูกกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ ในสภาพที่สมบูรณ์โดยทันที ในช่วงเวลาเดียวกัน กล่าวคือ ในระหว่างยุคแคมเบรียน (Cambrian Period) 520 – 530 ล้านปีมาแล้ว สิ่งมีชีวิตตั้งแต่ แบคทีเรีย ฟองน้ำ หนอน หอย สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จนกระทั่งสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังถูกสร้างขึ้นมาในสภาพโครงสร้างของร่างกายที่สมบูรณ์ทันที สสารที่มีโครงสร้างง่ายๆ สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างซับซ้อน ตามคำกล่าวอ้างของนักวิวัฒนาการนิยมนั้น ไม่เป็นความจริงเพราะโลกไม่มีเวลาพอ ที่จะอำนวยให้เกิดปรากฎการดังกล่าวได้นั้นเอง
สิ่งมีชีวิตล้านๆสายพันธุ์ ล้วนแสดงลักษณะทางกายภาพแตกต่างกันไป ตลอดจนมีโครงสร้างร่างกายที่สลับซับซ้อน ทั้งหมดนั้นล้วนเกิดจากอำนาจการสร้างของพระเจ้า เหตุผลที่นักวิวัฒนาการนิยมยังคงดื้อรั้นกับคำกล่าวอ้างลักษณะดังกล่าวนั้น เป็นเพียงเพราะพวกเขาเหล่านั้นปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าเท่านั้นเอง
12. หลักฐานทางฟอสซิลวิทยาได้หักล้าง “ วิวัฒนาการของม้า (Equine Evolution)”
8. ถึงแม้เวลาจะผ่านไปกี่ร้อยล้านปี แต่โครงสร้างสิ่งมีชีวิตไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ตามความเชื่อของนักวิวัฒนาการนิยมถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต จากสิ่งมีชีวิตโครงสร้างอย่างง่าย ไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างซับซ้อนขึ้น ภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม อย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะดำเนินไปเรื่อยไอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่แล้วผลการศึกษาฟอสซิลวิทยาของสิ่งมีชีวิตไม่ได้แสดงการเกิดวิวัฒนาการในลักษณะดังกล่าวเลย กล่าวคือฟอสซิลแสดงโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่อดีตกาลเป็นร้อยล้านปี ยังคงมีลักษณะเหมือนกับสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันในปัจจุบัน
9. ปลาซีลาคานท์ ( Coeoelecanth ) ฝันร้ายของนักวิวัฒนาการนิยม
หลักฐานชิ้นสำคัญที่สามารถพิสูจน์ความจริงของทฤษฎีวิวัฒนาการ ซึ่งนักวิวัฒนาการนิยมต่างตั้งหน้าตั้งตา โฆษณาอย่างเต็มที่ คือหลักฐานฟอสซิลวิทยา ของปลาซีลาคานท์ (Coeoelecanth) อายุประมาณ 400 ล้านปี ที่ถูกสันนิษฐานว่า เป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งปลา-ครึ่งสัตว์เลื่อยคลาน ซึ่งสัตว์ชนิดนี้ได้สูญพันธุ์ไปเมื่อ 70 ปีที่ผ่านมา ต่อมาวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 1938 (พ.ศ.2481) ได้มีการค้นพบปลาซีลาคานท์ที่ยังมีชีวิตใต้ทะเลลึกในมหาสมุทรอินเดีย พร้อมๆกับสิ่งมีชีวิตมากกว่า 200 ชนิด
จากหลักฐานสิ่งมีชีวิตที่ได้ค้นพบในครั้งนั้น ได้ตบหน้านักวิวัฒนาการนิยมอย่างจัง โดยที่ปลาซีลาคานท์ไม่ได้แสดงคุณสมบัติผสมระหว่างปลากับสัตว์เลื่อยคลาน หรือกำลังเตรียมตัวไปอาศัยบนพื้นดิน ตามคำทำนายของนักวิวัฒนาการนิยมเลย ความจริงแล้วพฤติกรรมของสัตว์ประเภทนี้ไม่เคยแหวกว่ายขึ้นสูงกว่า 180 เมตร (590 ฟุต) จากพื้นทะเลเลย นอกจากนี้ โครงสร้างทางกายภาพของมันไม่แสดงความแตกต่างกับฟอสซิลของมันที่มีอายุ 400 ล้านปีแม้แต่น้อย
ปลาซีลาคานท์
10. ความมหัศจรรย์ของปีก ยากเกินกว่าการเกิดอย่างอิสระ |
นักวิวัฒนาการนิยมได้กล่าวหาต่อ แหล่งกำเนิดของเหล่าวิหคจากเพื่อนร่วมชะตากรรม อย่างสัตว์เลื่อยคลาน ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกเขาอ้างต่อไปว่า กระดูกปลายแขน (forearms) ของสัตว์เลื่อยเปลี่ยนสภาพเป็นปีกของนก โดยกระบวนเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในยีนจากกระบวนการผ่าเหล่า (Mutations) การกล่าวหาลักษณะดังกล่าวเป็นไปไม่ได้เลย เพราะระบบสิงมีชีวิตที่เป็นกึ่งระหว่างสัตว์เลื่อยคลานกับนกนั้นไม่สามารถบินอันเนื่องจากความไม่สมบูรณ์ของโครงสร้าง ทั้งนี้เนื่องจากระบบปีกของนกเต็มด้วยรายละเอียดปลีกย่อย ที่มหัศจรรย์และสำคัญเกินกว่าการผ่าเหล่าอย่างไร้ระบบ(Mutations) เช่น ปีกประสานกับระบบอกอย่างแน่นหนา, ปีกของมันประกอบด้วยโครงกระดูกเบา ที่สร้างสมดุลระหว่างอากาศกับทิศทางในขณะบิน นอกจากนี้รูปลักษณ์ของปีกและขนมีคุณสมบัติที่บางเบา,และรักษาสมดุลของอากาศภายในระบบ กล่าวโดยสรุปคือ ระบบโครงสร้างของปีกถูกสร้างมาอย่างเจาะจงและมีความเหมาะสมในการใช้บิน ไม่มีเหตุผลเลยที่จะกล่าวว่า อวัยวะต่างๆของนกเกิดจากผลการผ่าเหล่าอย่างสุ่มไปสุ่มมา ซึ่งคำตอบของนักวิวัฒนาการต่อเรื่องนี้ยังคงอยู่ในสายลม ที่หาเวลาเข้าร่องเข้ารอยไม่ได้
11. นกอาร์คีออฟเทอริก ( Archeopteryx ) ไม่มีส่วนเชื่อมระหว่างสัตว์เลื่อยคลานและนก
นักวิวัฒนาการนิยมได้เปิดเผยฟอสซิลอายุ 150 ล้านปีของนก ที่สันนิษฐานว่า เป็นสัตว์อีกประเภทหนึ่งที่แสดงลักษณะเชื่อมระหว่างสัตว์เลื่อยคลานกับนก แต่จากผลการศึกษาภายหลัง ได้เปิดเผยถึงความไม่เที่ยงตรงของข้อมูลดังกล่าว กล่าวคือนกอาร์คีออฟเทอริก ( Archeopteryx ) มีโครงสร้างของนกที่อาศัยปีกบินอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้นักวิวัฒนาการนิยมได้อ้างถึง therapod dinosaurs ซึ่งเป็นสัตว์เลื่อยคลานที่เป็นบรรพบุรุษของนก ยังมีอายุน้อยกว่านกนกอาร์คีออฟเทอริก ( Archeopteryx ) ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่นักวิวัฒนาการพยายามปกปิดมาโดยตลอด
12. หลักฐานทางฟอสซิลวิทยาได้หักล้าง “ วิวัฒนาการของม้า (Equine Evolution)”
สารคคีที่ถูกเสนอในรายการโทรทัศน์หรือตามสื่อต่างๆได้แสดงการวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ของม้า ซึ่งเป็นฉากสำคัญในการยืนยันความถูกต้องของทฤษฎีวิวัฒนาการ เป็นไปไม่ได้เลยที่สัตว์สี่เท้าเลี้ยงลูกด้วยนมที่มีชีวิตในช่วงเวลาแตกต่างกันจะมีการจัดลำดับของโครงสร้างจากตัวเล็กเรียงลำดับไปสู่ชนิดใหญ่อย่างพลการ และมันถูกอุปโลกน์ “ชุดพัฒนาการของม้า (horse series)” ในพิพิธภัณฑ์ The American Museum of Natural History ในเมืองนิวยอร์กไว้แล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นจากผลการศึกษาอย่างยาวนาน ได้เปิดเผยถึงสายพันธุ์ม้าที่สูญพันธุ์ไปนั้น ไม่ได้เป็นบรรพบุรุษของม้าเลย และการจัดลำดับในลักษณะถือว่ามั่วนิ่มเอามาก เนืองจากสายพันธุ์ขนาดเล็ก (ที่เป็นบรรพบุรุษของม้านั้น-ผู้เรียบเรียง) ได้ปรากฏเห็นในพื้นพิภพมาเมื่อไม่นานมานี้เอง
13. จาก ลิงสู่คน ไม่เคยปรากฏหลักฐานการวิวัฒนาการเลย
หนึ่งในการมดเท็จที่น่าเกลียดที่สุดของนักวิวัฒนาการนิยม คือ การอ้างต้นกำเนิดของคนจากบรรพบุรุษลิง นับว่าเป็นการสร้างฉากโฆษณาที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เลย เช่น การกุเรื่อง ” มนุษย์ลิง (ape-man)” ซึ่งไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์เลย นอกจากนี้ Australopithecus ที่ถือว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบันนี้ มีลักษณะไม่มีแตกต่างอะไรกับลิงชิมแพนซี (Chimpanzees) เลย
การจัดลำดับต้นกำเนิดของ Homo erectus, Homo sapiens neandertalensis และ Homo sapiens archaic จากบรรพบุรุษอย่าง Australopithecus ที่เรียกว่า “ต้นตะกูลมนุษย์แบบต้นไม้ (Family Tree of Humans)” การจัดสายพันธุ์เหล่านั้นมีความแตกต่างกับลักษณะมนุษย์ปัจจุบันอย่างมาก ไม่ว่าจะโครงสร้างทางกายวิภาคศาสตร์ระหว่างสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นกับมนุษย์ปัจจุบันอย่าง pygmies และ Inuit ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย หรือแม้ประทั่งเผ่า Eskimos ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย
ยังต้องเสริมเนื้อหา อีกเยอะนะครับ
ตอบลบเพ้อเจ้อ
ตอบลบใช้เวลา ศึกษา ค้นคว้า หมดเงิน หมดแรง หมดเวลา หมดพลังงานไปเท่าไหร่แล้ว หรือ นั่งคิดเอาเอง
ตอบลบเพื่อพระเจ้าแล้ว ผิดก็ว่าถูกได้
ตอบลบArcheopteryx มีลักษณะกึ่งAves กับ Reptile ที่กระดูกหางนะเพราะ Avesมีหางแต่ไม่มีกระดูกหาง Reptile มีกระดูกหางแต่ไม่มีปีก แต่Archeopteryx มีทั้ง2ในตัวเดียวนะ
ตอบลบ