วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

50 ประการ แห่งการล่มสลายของทฤษฎีวิวัฒนาการ

50 ประการ แห่งการล่มสลายของทฤษฎีวิวัฒนาการ
อิบบินอุม อัซซาบิกูน แปลและเรียบเรียง




                กว่า 150 ปีมาแล้ว ทฤษฎีวิวัฒนาการได้ถูกยอมรับอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่สถานศึกษาไปจนถึงงานเขียนทางวิชาการ คล้ายกับว่าเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ทั้งๆที่ใจความหลักของมันตั้งอยู่บนหลักการที่ไม่สามารถยอมรับได้ ข้อกล่าวอ้างของนักวิวัฒนาการนิยม (evolutionist) ตลอดระยะ 150 ปีที่ผ่านมาได้ถูกปฏิเสธด้วยวิทยาศาสตร์แทบทั้งสิ้น ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเขา ไม่ลดละความพยาม เพื่อให้ทฤษฎีนี้อยู่รอดต่อไป จึงต้องอาศัยกลเม็ดทางสื่อ โดยวิธีการประโคมข่าวโฆษณา การปลุกระดม และการหลอกลวงอย่างเปิดเผย                 เป้าหมายไม่ใช้หักล้างทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการสนับสนุนโลกทัศน์ของนักวัตถุนิยม (materialist) และนักปฏิเสธพระเจ้า ต่อความไร้แก่นสารในทฤษฎีวิวัฒนาการ ให้ดำรงอยู่บนหน้าแผ่นดินนี้ต่อไป
                หนังสือที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ได้ทำการโต้ทฤษฎีวิวัฒนาการด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยมีการยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม และท่านคุ้นเคยเป็นอย่างดี  ท่านจะได้รับรู้ว่า ทำไมสิ่งมีชีวิตต่างๆไม่สามารถเกิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญ โดยหลุดกรอบอำนาจของพระเจ้าได้ ความรู้ที่เรามาเสนอในครั้งนี้ เป็นการพอเพียงที่ท่านจะปฏิเสธข้อกล่าวอ้าง และพร้อมใช้ตรรกะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นเหตุเป็นผลมาโต้เถียงกับนักวิวัฒนาการนิยมได้เสียที
                1. ทฤษฎีวิวัฒนาการนับถือ “ความบังเอิญ” เป็นเทพผู้สรรค์สร้าง
                ทฤษฎีวิวัฒนาการได้อ้างว่าอย่างไร้เหตุผลว่า อะตอมที่ไม่มีชีวิตอย่างเช่น ฟอสฟอรัสอะตอมและคาร์บอนอะตอมสามารถรวมกันเป็นสารประกอบ หรือโมเลกุลต่างๆ ภายใต้สถานการณ์ “บังเอิญ” ซึ่งมันเกิดจากผลพวงของแสงเสียง,การปะทุของภูเขาไฟ,รังสีอัลตราไวโอเลตจากกระบวนธรรมชาติในอัตราที่พอเหมาะ และมันยังสามารถจัดระบบตัวมันเองให้เกิดเป็นสายโซ่โปรตีน,เซลล์ หรือแม้กระทั่งเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างปลา,กระต่าย,เต่า,นก,สิงโต,มนุษย์ ตลอดจนทุกสรรพสิ่งด้วยตัวมันเองอย่างประหลาดพิลึก
                และนี่คือคำกล่าวอ้างพื้นฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการนิยม ที่นับถือ“ความบังเอิญ” เสมือนดั่ง เทพผู้สร้างสรรค์ทุกสรรพสิ่ง โดยปราศจากตรรกะ บนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สมเหตุสมผลมารองรับ
               
                2. กระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural Selection) ไม่สามารถอธิบายโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่มีความซับซ้อนได้
                ทฤษฎีวิวัฒนาการได้เสนอถึง สิ่งมีชีวิต (living organisms) สามารถปรับแปลงโครงสร้างตัวเอง เพื่อให้มันสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป ภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมอย่างน่ามหัศจรรย์ จนกระทั่งสามารถถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม จากรุ่นหนึ่ง สู่รุ่นต่อไปได้ และสามารถเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ จากสายโซ่ของ “กลไก” ดังกล่าวได้
                กลไกลักษณะดังกล่าว มักจะรู้จักในชื่อ “การคัดเลือกทางธรรมชาติ” (Natural selection) ข้ออ้างนี้ไม่สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง เกิดมีรูปลักษณ์ใหม่ได้ แต่มันเป็นเพียงแค่การปรับเปลี่ยนคุณลักษณะบางประการที่มีอยู่เดิมให้เด่นขึ้น แข็งแรงขึ้น เฉพาะสายพันธุ์เท่านั้น
                ตัวอย่างเช่น ฝูงกระต่ายชนิดหนึ่ง สามารถอยู่รอดได้ ในสถานที่หนึ่งๆ จะต้องวิ่งเร็วเท่านั้น เมื่อพวกมันตายลง กระต่ายรุ่นใหม่ ก็ต้องวิ่งเร็ว ตามสภาพท้องที่นั้นๆด้วย อย่างๆไรก็ตาม ไม่เคยมีประวัติว่า กระตายสามารถแปลงร่างกลายเป็นสุนัขเกรย์ฮาวนด์ (greyhounds) หรือสุนัขจิ้งจอก ได้แต่อย่างใด

                3. ผีเสื้อกลางฝุ่นกลางคืนพริกไทย (Peppered Moths) ไม่มีหลักฐานการเกิดวิวัฒนาการ ผ่านกระบวนการคัดเลือกทางธรรมชาติ

                ทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ครั้งใหญ่ ของผีเสื้อกลางฝุ่นกลางคืนพริกไทย (Peppered Moths) จากมลพิษทางอากาศในช่วงศตวรรษที่ 19 ของการปฏิวัติอุตสากรรมในสหราชอาณาจักร ทำให้เปลือกไม้ในบริเวณนั้นคล้ำขึ้น ส่งผลดีต่อการอำพรางตัวของผีเสื้อกลางฝุ่นกลางคืนพริกไทยจากการล่าของนก ด้วยเหตุนี้ทำให้ปริมาณของพวกมันสูงขึ้นเป็นทวีคูณ

                แต่นั้นไม่ใช่เครื่องยืนยันถึงการเกิดวิวัฒนาการ เพราะไม่มีการอุบัติของผีเสื้อชนิดใหม่เลย หากแต่มีการเพิ่มอัตราส่วนจำนวนของผีเสื้อกลางฝุ่นกลางคืนพริกไทยเท่านั้น ทั้งนี้ภาพที่แสดงการเกาะของผีเสื้อบนเปลือกไม้สีคล้ำ (ที่ได้เสนอ) เป็นเรื่องจินตนาการทั้งสิ้น หาได้ใช่ความจริงเลย นอกจากนี้ ตัวอย่างการเปลี่ยนเม็ดสีของเมลานินของผีเสื้อจากผลของมลภาวะทางอุตสาหกรรมเลยไม่เคยปรากฎขึ้นเลย

                4. แผ่นดินไหวยังไม่สามารถปรับปรุงบ้านเมืองได้ หรือการเกิด มิวเทชัน (Mutation) สามารถยังประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิต
                มิวเมชัน (Mutation) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอย่างอิสระของสายโซ่ดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นแหล่งบรรจุข้อมูลคุณลักษณะทั้งหมดของสิ่งมีชีวิต การเกิดมิวเทชัน (Mutation) นี้มีแหล่งกำเนิดจากแรงกระตุ้นของกัมมันตภาพรังสีหรือสารเคมีที่อยู่ภายนอกร่างกายของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมันไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับสิ่งมีชีวิตหรือเกิดสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ ตามคำกล่าวอ้างของนักวิวัฒนาการนิยมได้ (เช่น เกิดเป็นปีกของนก ปอดของปลา เป็นต้น) ทั้งนี้การเกิดมิวเทชันสามารถคร่าชีวิตหรือทำให้เกิดพิกลพิการต่อสิ่งมีชีวิตได้ ข้ออ้างที่ว่า การเกิดมิวเทชันสามารถปรับปรุงสายพันธุ์หรือสร้างประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิต ก็เหมือนกับการอ้างว่า การเกิดแผ่นดินไหวสามารถปรับปรุงบ้านเหมือนให้ทันสมัย หรือการนำค้อนมาทุบคอมพิวเตอร์จนแหลก สามารถทำให้เกิดระบบปฏิบัติการที่ทันสมัยและสลับซับซ้อนขึ้นได้
               

                5. ซากฟอสซิลที่ตรวจพบไม่มีหลักฐานการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะก้ำกึ่ง (Transitional Forms)
                ทฤษฎีวิวัฒนาการได้อ้างว่า การเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตจากสิ่งมีชีวิตหนึ่งเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างที่ซับซ้อนนั้น ต่าง มีจุดเริ่มต้นจากสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างง่ายๆ หมายความว่า ตั้งแต่อดีตกาลมาจนถึงปัจจุบันกาลนั้น ต้องปรากฏสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะก้ำกึ่ง (transitional forms) ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตสองสายพันธุ์ อย่างมากมาย เช่น ต้องปรากฏสิ่งมีชีวิตครึ่งปลา-ครึ่งสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ซึ่งมีลักษณะบางส่วนเหมือนปลาและบางส่วนเหมือนสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ หรือครึ่งมนุษย์-ครึ่งวานร หรือครึ่งนก-ครึ่งสัตว์เลื่อยคลาน เป็นต้น
                ถ้าปรากฏสิ่งมีชีวิตลักษณะก้ำกึ่งจริง (ตามคำกล่าวอ่างของนักวิวัฒนาการนิยมแล้ว) นักบรรพชีวินต้องขุดพบซากฟอสซิลของสัตว์ดังกล่าวจำนวนมากที่อยู่ใต้พื้นพิภพ แต่ผลปรากฏว่า ตั้งอดีตจนปัจจุบัน ซากของมันยังถูกคงกลบกลืนในห้วงนิทรา ไม่มีโอกาสมาอวดโฉม ในโลกแห่งความจริงได้
               
                6. ชีวิตต้องมาจากชีวิต
                ความผิดพลาดในการอธิบายการกำเนิดของสิ่งมีชีวิต ตามทฤษฎี “spontaneous generation” มีมาตั้งแต่ยุคกลาง (Middle Ages) กล่าวคือ ความเชื่อเรื่องสิ่งมีชีวิตถูกกำเนิดจากสิ่งไม่มีชีวิตได้โดยง่าย ได้แพร่หลายมาจนถึงศตวรรษที่ 18 ตัวอย่างเช่น แมลงก่อตัวจากอาหารเน่า หรือหนูเกิดจากข้าวสาลีในถัง เป็นต้น       แม้กระทั่งศตวรรษที่ 19 เมื่อชาลส์ ดาร์วินได้เขียนหนังสือ The Origin of Species วิทยาศาสตร์ในช่วงนั้น ยังคงเชื่อว่า แบคทีเรียเกิดจากสสารที่ไม่มีชีวิตอยู่
                หลังจากหนังสือของดาร์วินได้ถูกเผยแพร่ 5 ปี มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อ หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) ได้เปิดเผยผลการวิจัย ที่สามารถหักล้างทฤษฎี “spontaneous generation” จนทำให้แนวคิดของดาร์วิน ลดความน่าเชื่อถือลง ปาสเตอร์ได้บรรยาย ณ เมือง Sorbonne ในปี ค.ศ. 1864 ไว้ว่า “จากตัวอย่างผลการทดลองนี้ ยืนยันว่า สิ่งมีชีวิตไม่สามารถเกิดจากการการระเบิดของสิ่งที่ตายได้ (Sidney Fox, Klaus Dose, Molecular Evolution and The Origin of Life, New York: Marcel Dekker, 1977. p. 2)
                ผลจากการศึกษาของปาสเตอร์ สามารถตอบย้ำว่า สิ่งมีชีวิต(ที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อน) ไม่สามารถอุบัติมาเองบนโลกได้ แต่มันต้องมีจุดเริ่มต้นจากอำนาจการสร้างอย่างน่าอัศจรรย์

                7. สิ่งมีชีวิตถูกสร้างขึ้นทันทีในช่วงเวลาเดียวกัน
                สิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้ถูกกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้  ในสภาพที่สมบูรณ์โดยทันที ในช่วงเวลาเดียวกัน กล่าวคือ ในระหว่างยุคแคมเบรียน (Cambrian Period) 520 – 530 ล้านปีมาแล้ว สิ่งมีชีวิตตั้งแต่ แบคทีเรีย ฟองน้ำ หนอน หอย สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จนกระทั่งสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังถูกสร้างขึ้นมาในสภาพโครงสร้างของร่างกายที่สมบูรณ์ทันที       สสารที่มีโครงสร้างง่ายๆ สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างซับซ้อน ตามคำกล่าวอ้างของนักวิวัฒนาการนิยมนั้น ไม่เป็นความจริงเพราะโลกไม่มีเวลาพอ ที่จะอำนวยให้เกิดปรากฎการดังกล่าวได้นั้นเอง
                สิ่งมีชีวิตล้านๆสายพันธุ์ ล้วนแสดงลักษณะทางกายภาพแตกต่างกันไป  ตลอดจนมีโครงสร้างร่างกายที่สลับซับซ้อน ทั้งหมดนั้นล้วนเกิดจากอำนาจการสร้างของพระเจ้า  เหตุผลที่นักวิวัฒนาการนิยมยังคงดื้อรั้นกับคำกล่าวอ้างลักษณะดังกล่าวนั้น เป็นเพียงเพราะพวกเขาเหล่านั้นปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าเท่านั้นเอง

                    8. ถึงแม้เวลาจะผ่านไปกี่ร้อยล้านปี แต่โครงสร้างสิ่งมีชีวิตไม่เคยเปลี่ยนแปลง

                ตามความเชื่อของนักวิวัฒนาการนิยมถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต จากสิ่งมีชีวิตโครงสร้างอย่างง่าย ไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างซับซ้อนขึ้น ภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม อย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะดำเนินไปเรื่อยไอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่แล้วผลการศึกษาฟอสซิลวิทยาของสิ่งมีชีวิตไม่ได้แสดงการเกิดวิวัฒนาการในลักษณะดังกล่าวเลย กล่าวคือฟอสซิลแสดงโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่อดีตกาลเป็นร้อยล้านปี ยังคงมีลักษณะเหมือนกับสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันในปัจจุบัน
               
                9. ปลาซีลาคานท์ ( Coeoelecanth ) ฝันร้ายของนักวิวัฒนาการนิยม
          หลักฐานชิ้นสำคัญที่สามารถพิสูจน์ความจริงของทฤษฎีวิวัฒนาการ ซึ่งนักวิวัฒนาการนิยมต่างตั้งหน้าตั้งตา โฆษณาอย่างเต็มที่ คือหลักฐานฟอสซิลวิทยา ของปลาซีลาคานท์ (Coeoelecanth)   อายุประมาณ 400 ล้านปี ที่ถูกสันนิษฐานว่า เป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งปลา-ครึ่งสัตว์เลื่อยคลาน ซึ่งสัตว์ชนิดนี้ได้สูญพันธุ์ไปเมื่อ 70 ปีที่ผ่านมา ต่อมาวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 1938 (พ.ศ.2481) ได้มีการค้นพบปลาซีลาคานท์ที่ยังมีชีวิตใต้ทะเลลึกในมหาสมุทรอินเดีย พร้อมๆกับสิ่งมีชีวิตมากกว่า 200 ชนิด
            จากหลักฐานสิ่งมีชีวิตที่ได้ค้นพบในครั้งนั้น ได้ตบหน้านักวิวัฒนาการนิยมอย่างจัง โดยที่ปลาซีลาคานท์ไม่ได้แสดงคุณสมบัติผสมระหว่างปลากับสัตว์เลื่อยคลาน หรือกำลังเตรียมตัวไปอาศัยบนพื้นดิน ตามคำทำนายของนักวิวัฒนาการนิยมเลย ความจริงแล้วพฤติกรรมของสัตว์ประเภทนี้ไม่เคยแหวกว่ายขึ้นสูงกว่า 180 เมตร (590 ฟุต) จากพื้นทะเลเลย นอกจากนี้ โครงสร้างทางกายภาพของมันไม่แสดงความแตกต่างกับฟอสซิลของมันที่มีอายุ 400 ล้านปีแม้แต่น้อย

                                                     
                                                        ปลาซีลาคานท์


          
          10. ความมหัศจรรย์ของปีก ยากเกินกว่าการเกิดอย่างอิสระ

           


นักวิวัฒนาการนิยมได้กล่าวหาต่อ แหล่งกำเนิดของเหล่าวิหคจากเพื่อนร่วมชะตากรรม อย่างสัตว์เลื่อยคลาน ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกเขาอ้างต่อไปว่า กระดูกปลายแขน (forearms) ของสัตว์เลื่อยเปลี่ยนสภาพเป็นปีกของนก โดยกระบวนเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในยีนจากกระบวนการผ่าเหล่า (Mutations) การกล่าวหาลักษณะดังกล่าวเป็นไปไม่ได้เลย เพราะระบบสิงมีชีวิตที่เป็นกึ่งระหว่างสัตว์เลื่อยคลานกับนกนั้นไม่สามารถบินอันเนื่องจากความไม่สมบูรณ์ของโครงสร้าง ทั้งนี้เนื่องจากระบบปีกของนกเต็มด้วยรายละเอียดปลีกย่อย ที่มหัศจรรย์และสำคัญเกินกว่าการผ่าเหล่าอย่างไร้ระบบ(Mutations) เช่น ปีกประสานกับระบบอกอย่างแน่นหนา, ปีกของมันประกอบด้วยโครงกระดูกเบา ที่สร้างสมดุลระหว่างอากาศกับทิศทางในขณะบิน นอกจากนี้รูปลักษณ์ของปีกและขนมีคุณสมบัติที่บางเบา,และรักษาสมดุลของอากาศภายในระบบ กล่าวโดยสรุปคือ ระบบโครงสร้างของปีกถูกสร้างมาอย่างเจาะจงและมีความเหมาะสมในการใช้บิน ไม่มีเหตุผลเลยที่จะกล่าวว่า อวัยวะต่างๆของนกเกิดจากผลการผ่าเหล่าอย่างสุ่มไปสุ่มมา ซึ่งคำตอบของนักวิวัฒนาการต่อเรื่องนี้ยังคงอยู่ในสายลม ที่หาเวลาเข้าร่องเข้ารอยไม่ได้

            11. นกอาร์คีออฟเทอริก ( Archeopteryx ) ไม่มีส่วนเชื่อมระหว่างสัตว์เลื่อยคลานและนก
            นักวิวัฒนาการนิยมได้เปิดเผยฟอสซิลอายุ 150 ล้านปีของนก ที่สันนิษฐานว่า เป็นสัตว์อีกประเภทหนึ่งที่แสดงลักษณะเชื่อมระหว่างสัตว์เลื่อยคลานกับนก แต่จากผลการศึกษาภายหลัง ได้เปิดเผยถึงความไม่เที่ยงตรงของข้อมูลดังกล่าว กล่าวคือนกอาร์คีออฟเทอริก                         ( Archeopteryx ) มีโครงสร้างของนกที่อาศัยปีกบินอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้นักวิวัฒนาการนิยมได้อ้างถึง therapod dinosaurs ซึ่งเป็นสัตว์เลื่อยคลานที่เป็นบรรพบุรุษของนก ยังมีอายุน้อยกว่านกนกอาร์คีออฟเทอริก ( Archeopteryx ) ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่นักวิวัฒนาการพยายามปกปิดมาโดยตลอด
            






12. หลักฐานทางฟอสซิลวิทยาได้หักล้าง “ วิวัฒนาการของม้า (Equine Evolution)”
            สารคคีที่ถูกเสนอในรายการโทรทัศน์หรือตามสื่อต่างๆได้แสดงการวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ของม้า ซึ่งเป็นฉากสำคัญในการยืนยันความถูกต้องของทฤษฎีวิวัฒนาการ เป็นไปไม่ได้เลยที่สัตว์สี่เท้าเลี้ยงลูกด้วยนมที่มีชีวิตในช่วงเวลาแตกต่างกันจะมีการจัดลำดับของโครงสร้างจากตัวเล็กเรียงลำดับไปสู่ชนิดใหญ่อย่างพลการ และมันถูกอุปโลกน์ ชุดพัฒนาการของม้า (horse series)ในพิพิธภัณฑ์ The American Museum of Natural History ในเมืองนิวยอร์กไว้แล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นจากผลการศึกษาอย่างยาวนาน ได้เปิดเผยถึงสายพันธุ์ม้าที่สูญพันธุ์ไปนั้น ไม่ได้เป็นบรรพบุรุษของม้าเลย และการจัดลำดับในลักษณะถือว่ามั่วนิ่มเอามาก เนืองจากสายพันธุ์ขนาดเล็ก (ที่เป็นบรรพบุรุษของม้านั้น-ผู้เรียบเรียง) ได้ปรากฏเห็นในพื้นพิภพมาเมื่อไม่นานมานี้เอง
                  13. จาก ลิงสู่คน ไม่เคยปรากฏหลักฐานการวิวัฒนาการเลย
             หนึ่งในการมดเท็จที่น่าเกลียดที่สุดของนักวิวัฒนาการนิยม คือ การอ้างต้นกำเนิดของคนจากบรรพบุรุษลิง นับว่าเป็นการสร้างฉากโฆษณาที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เลย เช่น การกุเรื่อง มนุษย์ลิง (ape-man)” ซึ่งไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์เลย นอกจากนี้ Australopithecus ที่ถือว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบันนี้ มีลักษณะไม่มีแตกต่างอะไรกับลิงชิมแพนซี (Chimpanzees) เลย
            การจัดลำดับต้นกำเนิดของ Homo erectus, Homo sapiens neandertalensis และ Homo sapiens archaic จากบรรพบุรุษอย่าง Australopithecus ที่เรียกว่า ต้นตะกูลมนุษย์แบบต้นไม้ (Family Tree of Humans)” การจัดสายพันธุ์เหล่านั้นมีความแตกต่างกับลักษณะมนุษย์ปัจจุบันอย่างมาก ไม่ว่าจะโครงสร้างทางกายวิภาคศาสตร์ระหว่างสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นกับมนุษย์ปัจจุบันอย่าง pygmies และ Inuit ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย หรือแม้ประทั่งเผ่า Eskimos ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย






















5 ความคิดเห็น:

  1. ยังต้องเสริมเนื้อหา อีกเยอะนะครับ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ23 กันยายน 2559 เวลา 03:09

    ใช้เวลา ศึกษา ค้นคว้า หมดเงิน หมดแรง หมดเวลา หมดพลังงานไปเท่าไหร่แล้ว หรือ นั่งคิดเอาเอง

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ20 มีนาคม 2560 เวลา 04:02

    เพื่อพระเจ้าแล้ว ผิดก็ว่าถูกได้

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ11 เมษายน 2560 เวลา 23:41

    Archeopteryx มีลักษณะกึ่งAves กับ Reptile ที่กระดูกหางนะเพราะ Avesมีหางแต่ไม่มีกระดูกหาง Reptile มีกระดูกหางแต่ไม่มีปีก แต่Archeopteryx มีทั้ง2ในตัวเดียวนะ

    ตอบลบ